หลังตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นเสิ่นกุยหย่าตั้งใจจะไปศึกษาพื้นที่แถวเรือนอุดร แล้วก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้พบกู้เจาเป่ยโดยบังเอิญ
“เจาเป่ยจะไปที่ใดหรือนั่น” นางถามผ่านรอยยิ้ม
กู้เจาเป่ยตวัดสายตามองอีกฝ่ายแล้วหยุดเท้าพร้อมยกยิ้มตรงมุมปาก “ก็ออกมาเดินเรื่อยเปื่อย เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงเดินมาแถวนี้แต่เช้าตรู่เลยเล่า”
“ข้าก็เดินเรื่อยเปื่อยเหมือนกัน” เสิ่นกุยหย่ามองไปรอบตัว อวี้ซูที่ตามมาด้านหลังถอยหลบไปดูต้นทางให้อย่างนกรู้
“ได้เจอเจ้าพอดีเลย ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย” เสิ่นกุยหย่าไม่รู้จักวิธีใช้คำของคนโบราณ พูดเป็นแค่ ‘ข้าๆ’ ‘เจ้าๆ’ ดีที่กู้เจาเป่ยเป็นคนไม่สนใจธรรมเนียมหยุมหยิม แต่สิ่งที่นางพูดพอจะจุดความสนใจได้อยู่บ้าง เขาเลิกคิ้วถาม “เรื่องอะไร”
เสิ่นกุยหย่าถอนหายใจเบาๆ แล้วขยับเข้าไปหาเขาอีกนิด “ช่วงนี้พี่ใหญ่ของเจ้ากลับดึกตลอด คงไปหาพี่สามที่จวนสกุลเสิ่นอีกแล้ว ถ้าพี่สามยังไม่มีคู่หมายยังพอว่า แต่นี่นางกำลังจะแต่งงานกับเจ้าอยู่รอมร่อ ข้าห้ามพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้ เจ้าควรไปเกลี้ยกล่อมเขาบ้างดีกว่า”
กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว “ยังไปอยู่อีกหรือ”
ขนาดข้าไม่ไปแล้ว พี่ชายคนโตกลับยังแอบออกไป?
เสิ่นกุยหย่าพยักหน้าแล้วทอดถอนใจอีกครั้ง “คงเพราะพี่สามเองก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วย เขาเลยยังไปเรื่อยๆ”
กู้เจาเป่ยเม้มปากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เหลือบตามองสตรีตรงหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ช่วยเตือน”
เสิ่นกุยหย่าส่ายหน้า “เจ้าคอยระวังไว้สักหน่อยก็ดี”
จากนั้นก็ย่อกายคารวะแบบคนโบราณแล้วจากไป
การติดต่อสื่อสารในยุคโบราณไม่สะดวก ดังนั้นย่อมไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการกุข่าวให้ร้ายกัน เสิ่นกุยหย่ารู้ว่ากู้เจาเป่ยไม่มีทางเชื่อนางแน่ แต่เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ครั้งแรกไม่สำเร็จก็ยังมีครั้งที่สอง
กู้เจาเป่ยมองตามแผ่นหลังนางแล้วแค่นหัวเราะหยามหยันทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวมุ่งไปจวนสกุลเสิ่น
บ่าวสาวไม่ควรพบกันก่อนแต่งงาน เพราะอย่างนี้กู้เจาเป่ยจึงไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่ปีนกำแพงเข้ามาแทน อาศัยความช่ำชองที่กระโดดข้ามชายคาไต่กำแพงมานานปีลอบเข้าไปในหอนางแอ่น
ยามเช้าเช่นนี้ด้านนอกยังมีคนไม่มาก จึงไม่มีใครพบเห็นกู้เจาเป่ย พอเข้ามาในอาณาบริเวณหอนางแอ่น เขาก็ขึ้นไปข้างบนอย่างสง่าผ่าเผย
เป่าซั่นตกใจจนเกือบทำอ่างน้ำที่ถืออยู่ร่วงหลุดมือเมื่อเห็นเขา “คุณชายสี่?”
“ข้ามาหาคุณหนูของเจ้า” กู้เจาเป่ยยิ้มให้สาวใช้แล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังตะลึงงันเดินผ่านนางเข้าไปในห้องนอนของเสิ่นกุยเยี่ยน
เจ้าของห้องเพิ่งตื่นนอน เวลานี้กำลังนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียง เมื่อคืนมีเรื่องกับกู้เจาตง แม้นางไล่เขาไปได้ แต่ตัวนางก็นอนไม่ค่อยหลับ วันนี้จึงแทบลุกไม่ขึ้น
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งคอพับคออ่อนท่าทางเหมือนจวนจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ กู้เจาเป่ยหัวเราะในคอพลางประคองต้นแขนเล็กไว้ “เมื่อคืนออกไปขโมยวัวมาหรือไร”
เสิ่นกุยเยี่ยนทำตาปรือมองเขาอยู่นานก็ยังจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ได้แต่เอ่ยเสียงงัวเงียออกมาคำเดียว “ง่วง…”
ขนาดนัยน์ตาง่วงซึมเช่นนี้ก็ยังงดงาม กู้เจาเป่ยกระแอมเบาๆ สองครั้งแล้วเอื้อมมือไปบิดผ้าในอ่างน้ำที่เป่าซั่นถืออยู่จนหมาด ค่อยๆ เช็ดหน้าให้นางอย่างพิถีพิถัน
เป่าซั่นยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ตามองใบหน้าด้านข้างของคุณชายสี่สกุลกู้แล้วกลืนน้ำลายลงคอ
พอได้เช็ดหน้าจนสะอาดสะอ้าน สติของเสิ่นกุยเยี่ยนก็ค่อยตื่นตัว แล้วสูดหายใจเฮือกด้วยความตระหนกเมื่อเห็นคนตรงหน้าชัดถนัดตา “เหตุใดถึงเป็นท่านได้!”
นางมองไปทางประตูห้องโดยไม่รู้ตัว บุรุษหน้าหนาผู้นี้ชอบบุกเข้าห้องนางอยู่เรื่อย ซ้ำยังมาไม่ถูกเวลาทุกที!
“คิดถึงข้าแล้วใช่หรือไม่” กู้เจาเป่ยยิ้มทะเล้นมองนาง “ตอนตื่นนอนเช้าวันนี้ข้าคิดถึงเจ้าขึ้นมาเล็กน้อย ก็เลยมาหา”
เสิ่นกุยเยี่ยนผลักเขาออกห่างแล้วลากสาวใช้คนสนิทไปด้านหลังฉากบังตา “คุณชายสี่สกุลกู้เก็บคำหวานไว้ให้ผู้อื่นเถิด ข้าดูคนที่การกระทำ ไม่ได้ชอบฟังที่วาจา”
เป่าซั่นวางอ่างน้ำลงแล้วรีบช่วยเจ้านายเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว เสิ่นกุยเยี่ยนทางหนึ่งแต่งตัวอีกทางหนึ่งก็คอยมองผ่านช่องว่างของฉากบังตาออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าคนเสเพลนั่นจะนึกครึ้มบุกเข้ามาในนี้