ทว่ากู้เจาเป่ยยังนั่งสงบเสงี่ยมบนเตียงนางแต่โดยดี เดาะลิ้นแล้วค่อนแคะนาง “เยี่ยนเอ๋อร์ช่างไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เอาเสียเลย ข้าพูดเช่นนี้กับใคร ทุกคนต้องตอบกลับมาว่าข้าก็คิดถึงท่านทั้งนั้น”
“วาจาเช่นนั้นข้าพูดไม่ลงหรอก” เสิ่นกุยเยี่ยนสวมกระโปรงยาวสีเขียวกับเสื้อคลุมผ่าหน้าสีเหลือง ให้ความรู้สึกผ่องแผ้วสดใส
กู้เจาเป่ยเห็นแล้วดวงตาเป็นประกาย ดึงแขนนางเข้าหาตัว “เจ้าแต่งกายได้เหมาะสมจริง วันนี้ออกไปกับข้าดีหรือไม่”
เด็กสาวสะดุ้งเฮือก ก่อนจะสั่นศีรษะโดยไม่ต้องคิด “ข้าออกจากจวนไม่ได้ อีกประเดี๋ยวยังต้องปักชุดเจ้าสาวด้วย”
“ให้สาวใช้เจ้าช่วยรับหน้าไปก่อนสิ” กู้เจาเป่ยเบ้ปาก “ข้าอยากพาเจ้าขึ้นไปบนเขาลั่วสยา”
เขาลั่วสยา? เสิ่นกุยเยี่ยนเลิกคิ้ว บนนั้นเต็มไปด้วยหลุมศพ มีอะไรน่าดูกัน กู้เจาเป่ยชอบทำตัวแผลงๆ นางไม่อยากทำตามเขาไปด้วย สุดท้ายหากถูกทำโทษกันทั้งคู่จะดูไม่งามเสียมากกว่า
“ข้าว่าข้า…”
พูดยังไม่ทันจบอะไรบางอย่างก็ถูกยัดเข้ามาในปากของเสิ่นกุยเยี่ยน มือของนางถูกรวบไว้ พร้อมรู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับหัว
“อื๊อๆๆ!!” กู้เจาเป่ย!
คุณชายสี่สกุลกู้หันไปยิ้มให้เป่าซั่นที่ตกตะลึงตาค้าง “เด็กดี ข้าจะพาคุณหนูของเจ้าออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อย นางจะได้ไม่เอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ทุกวี่ทุกวัน ขนาดจวนจะเป็นเจ้าสาวเต็มทีก็ยังไม่มีความสุข เจ้าอยู่ทางนี้ก็ช่วยปิดบังให้นางที รับรองว่าข้าจะพานางกลับมาส่งก่อนฟ้ามืดแน่นอน”
“ไม่…” เป่าซั่นอยากบอกว่า ‘ไม่ได้’ เพราะนางช่วยปิดเอาไว้ไม่ไหว ปรากฏว่าร่างตรงหน้าเหลือเพียงเงาไวๆ คุณชายสี่สกุลกู้หิ้วคุณหนูของนางวิ่งออกไปเร็วราวกับติดปีก
แอบเข้าจวนมาคนเดียวโดยไม่ถูกจับได้ก็โชคดีมากแล้ว นี่จะพากันออกไปสองคน มีหรือจะไม่ถูกใครเห็น เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตากว้างอย่างตระหนก ก่อนเห็นกู้เจาเป่ยล้วงผ้าดำออกมาสองผืน โยนผืนหนึ่งคลุมศีรษะนาง อีกผืนปิดหน้าตนเองไว้อย่างแน่นหนา
จากนั้นก็วิ่งฝ่าออกไปทางประตูหลังต่อหน้าต่อตาบ่าวเฝ้าประตู
ดูท่าบ่าวเฝ้าประตูจะไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ละคนจึงยืนอึ้งอยู่กับที่อึดใจใหญ่ถึงค่อยวิ่งตามออกมา ทว่ากู้เจาเป่ยพาเสิ่นกุยเยี่ยนขึ้นหลังม้าที่ทิ้งไว้นอกจวน ควบทะยานออกไปเรียบร้อยแล้ว
“มีโจรเข้ามาลักพาคน!” บ่าวเฝ้าประตูไม่รู้ว่าต้องตะโกนอย่างไรดี จึงได้แต่ร้องออกไปเช่นนั้น
เสิ่นกุยเยี่ยนที่อยู่บนหลังม้าหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก เขาก่อเหตุโฉ่งฉ่างใหญ่โตถึงเพียงนี้ คนในจวนเพียงตรวจดูเล็กน้อยก็รู้แล้วว่านางหายไป ยังต้องคลุมหน้าให้ได้อะไรขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ” กู้เจาเป่ยเหลียวมองกลุ่มคนที่ตามมาข้างหลังพลางหัวเราะชอบใจ เสิ่นกุยเยี่ยนดึงผ้าผ้าเช็ดหน้าที่อุดปากตนเองทิ้ง แล้วอ้าปากกัดท่อนแขนอีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง
“ชิ กัดเบาแค่นี้? อยู่ในจวนไม่ได้กินเนื้อบ้างหรือไร” กู้เจาเป่ยก้มหน้ามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะร่า “ไป พี่ชายจะพาเจ้าไปกินเนื้อ!”
เสิ่นกุยเยี่ยนโมโหจนแทบร้องไห้ นางประพฤติตัวอยู่ในกรอบจารีตมาโดยตลอด ไม่เคยพบเคยเจออันธพาลเช่นเขา! ออกจากจวนมาเช่นนี้มีหรือนางกลับไปจะได้ลอยตัวสบายๆ
“คนเสเพล!”
“อื้อหือ ด่าเป็นด้วยหรือนี่” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ข้านึกว่าเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดเสียอีก เห็นเอาแต่ทำตัวสุภาพนุ่มนวล ไม่คิดเลยว่าจะด่าออกเสียงเป็นด้วยเหมือนกัน”
ความดุดันของเสิ่นกุยเยี่ยนถูกกดทับไว้ใต้กรอบจารีตอันหนักอึ้ง กู้เจาเป่ยยังนึกว่ามันจะถูกกดไว้อย่างนั้นไปตลอดเสียอีก
เสิ่นกุยเยี่ยนแค่นจมูกดังหึแล้วกัดฟันกรอด “ท่านก่อเหตุถึงเพียงนี้ หากข้าไม่ด่า ท่านก็คงนึกว่าตนเองไม่ได้ทำผิดน่ะสิ คุณชายสี่สกุลกู้ รีบกลับไปตอนนี้ยังทันนะ”
“ในเมื่อออกมาแล้วจะกลับไปด้วยเหตุใดเล่า” กู้เจาเป่ยแค่นหัวเราะ “ทำสิ่งที่ตนเองมีความสุขก็พอน่า ต้องมาแยกแยะถูกผิดเพื่ออันใดอีก”
เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่สักพักก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถองศอกไปข้างหลังเต็มแรง
“ฮึก!” คราวนี้เจ็บจริง กู้เจาเป่ยถึงกับหน้าซีดเผือดแล้วหลุบตาลงมองบ่าของซ้ายตนเองด้วยอารมณ์ทั้งฉิวทั้งขัน “ทำอะไรของเจ้ากัน”
“ไหนว่าพอใจทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ” นางโต้กลับเสียงเนิบๆ “เช่นนั้นหากข้าพอใจขึ้นมา ฆ่าท่านตายก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมายสินะ”