บทที่ 15 หยกงามในก้อนดิน
กู้เจาเป่ยผงะก่อนที่เสียงหัวเราะจะหลุดออกมาอย่างขบขัน “หากเจ้าฆ่าข้าจริงก็เท่ากับต้องครองตัวเป็นม่ายทั้งที่เพิ่งเตรียมออกเรือนน่ะสิ”
ม้าควบออกมาไกลลิบ สลัดคนที่ไล่ตามมาข้างหลังจนมองไม่เห็นแล้ว ต่อให้เสิ่นกุยเยี่ยนอยากกลับไปตอนนี้ก็สายเกินไปอยู่ดี นางถอนหายใจอย่างยอมจำนนแล้วเลิกเกร็งตัว เพราะถึงอย่างไรกลับไปก็ต้องถูกทำโทษอยู่ดี นางยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า
“จนป่านนี้ข้าก็ยังสงสัยไม่หาย เหตุใดจู่ๆ คุณชายสี่ถึงได้พรวดพราดเข้ามาในจวนสกุลเสิ่นแล้วดึงดันจะแต่งงานกับข้าให้ได้ แต่ก่อนพวกเราไม่เคยพบเจอกันสักครั้ง หน้าตาอย่างข้าดูแล้วก็ไม่น่าจะต้องตาคุณชายสี่ด้วย”
ข้อกังขานี้วนเวียนอยู่ในความคิดเสิ่นกุยเยี่ยนมาหลายวัน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ถามเสียที
กู้เจาเป่ยชะลอความเร็วของม้าให้วิ่งไปตามถนนอันเงียบสงบ ก่อนจะก้มหน้าลงพูดริมหูนาง “แม้ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของคุณหนูสามมาโดยตลอด ใครก็กล่าวขานกันทั้งนั้นว่าคุณหนูสามเปล่งประกายมาตั้งแต่ห้าขวบ ทั้งเฉลียวฉลาดทั้งไหวพริบเฉียบไว”
ชาวบ้านร้านตลาดเล่าลือกันว่าคุณหนูสามสกุลเสิ่นได้รับพรประทานจากสวรรค์ เกิดมาพร้อมกับหยกหงส์* ไม่แน่ว่าอาจถูกลิขิตมาให้เป็นมารดาของแผ่นดิน
เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก ไม่รู้เหตุใดถึงมีคนเชื่อข่าวลือลวงโลกเช่นนี้ได้ ดีที่อัครเสนาบดีกู้เลือกนางเป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่อายุแปดขวบ หาไม่เหล่าองค์ชายในวังหลวงอาจแย่งชิงนางเป็นพัลวัน เกิดมาเป็นฮองเฮาเช่นนั้นหรือ…คนเหล่านั้นเชื่อจริงๆ หรือว่าหากแต่งงานกับนางจะได้เป็นฮ่องเต้
เหลวไหลนัก!
“ข้าแค่สงสัยจับใจว่าเหตุใดคุณหนูสามผู้เปล่งประกายจับตาถึงได้จางจนกลมกลืนไปกับผู้อื่นนับแต่อายุแปดขวบก็เลยไปจวนสกุลเสิ่นเพื่อดูสักครั้ง” กู้เจาเป่ยเอ่ยเรียบเรื่อย “พอได้เห็นตัวจริงข้าก็สนใจเจ้าขึ้นมาเชียวล่ะ เจ้าเป็นเหมือนหยกงามที่ถูกก้อนดินห่อไว้ เห็นแล้วพาให้อยากเอากลับจวนไปค่อยๆ เคาะดินออกดูหยกที่อยู่ข้างใน”
เสิ่นกุยเยี่ยนผงะ
“ดิน?”
“ใช่แล้ว” คนด้านหลังเกยคางลงบนบ่านาง แล้วเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงยั่วยิ้ม “จารีตธรรมเนียมอันซับซ้อน การเฝ้าเตือนสติตนเองตลอดเวลาไม่ให้ทำผิด คอยระวังตัวแจจนไม่ต่างไปจากผู้อื่น สิ่งเหล่านี้คือดินที่พอกห่อตัวเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ”
นางแค่นจมูกเบาๆ แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
หากมิใช่ความจำเป็นบีบบังคับ ใครเล่าจะอยากกลืนหายไปกับผู้อื่น
กู้เจาเป่ยสะบัดแส้เฆี่ยนม้าให้เร่งฝีเท้า มุ่งหน้าไปทางถนนสายตะวันตก กว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นประตูบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่ตรงหน้า ด้านบนมีป้ายเขียนว่า ‘เงาบุปผาเมามัว’
เงาบุปผาเมามัว…หอคณิกาชื่อดังของเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสถานที่ที่สร้างชื่อเสียงให้กู้เจาเป่ย
เสิ่นกุยเยี่ยนอ้าปากค้าง “ท่านพาข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน” ไหนว่าจะไปเขาลั่วสยาอย่างไรเล่า!
กู้เจาเป่ยอุ้มนางลงจากหลังม้าแล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบบ่าเล็กไว้ “เข้าไปข้างในดีกว่า ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา มีแต่คนคุ้นเคยทั้งนั้น
เสิ่นกุยเยี่ยน “…”
มีแต่คนคุ้นเคยของเขาน่ะสิ ข้าไม่คุ้นด้วยแม้แต่คนเดียว!
“ตายจริง เหตุใดคุณชายกู้จึงมาเวลานี้เล่าเจ้าคะ” อิ๋งมามา** เดินออกมาอย่างประหลาดใจ แล้วมองไปข้างหลังเขา “เวลานี้พวกเด็กๆ เพิ่งจะเข้านอนไปไม่นาน แล้วท่านนี้คือ…”
เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลง ทำท่าจะถอยไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณ ทว่าถูกกู้เจาเป่ยจับต้นแขนไว้จนขยับไม่ได้
“นี่คือคุณหนูสามสกุลเสิ่น”
อิ๋งมามาเข้าใจในทันที ทว่าไม่มีสีหน้าแตกตื่นแต่อย่างใด เพียงกล่าวยิ้มๆ “ช่วงกลางวันที่นี่ไม่พลุกพล่าน ให้ทั้งสองท่านเข้ามานั่งดื่มชาได้อยู่เจ้าค่ะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนแปลกใจทีเดียว รู้มาว่ากู้เจาเป่ยรู้จักสตรีที่นี่ทุกคน อีกทั้งนางก็คือสตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาเอกของเขา แม่เล้าคนนี้จะไม่หลบหน้านางสักหน่อยหรือ
พอเดินตามเข้าไปก็พบว่าหอเงาบุปผาเมามัวผิดแผกไปจากหออื่นตรงที่ไม่ได้ประดับม่านแพรเรี่ยราด แต่ดูแล้วเหมือนหอสุราทั่วไปมากกว่า หญิงคณิกาตื่นแต่หัววันสองคนกำลังนั่งกินอาหารหน้ามันย่องผมเผ้ารุ่ยร่ายอยู่ข้างล่าง เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาก็รีบจัดผมเผ้าเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“คุณชายกู้?”
กู้เจาเป่ยพาเสิ่นกุยเยี่ยนเดินเข้าไปหาที่นั่งง่ายๆ จากนั้นอิ๋งมามาก็ยกชากับอาหารเช้าเข้ามาให้