“พวกพี่สาวกินข้าวกันตามสบาย ข้าแค่พานางผ่านทางมาเท่านั้น” กู้เจาเป่ยโบกมือให้หญิงคณิกา หญิงทั้งสองอมยิ้มอย่างเหนียมอาย ผงกศีรษะทักทายเสิ่นกุยเยี่ยน จากนั้นก็หันไปกินอาหารกันต่อ
เสิ่นกุยเยี่ยนมองซ้ายมองขวา รู้สึกแปลกชอบกล เหตุไฉนหอคณิกาถึงเป็นเช่นนี้ได้
“ตามความคิดเจ้าหอคณิกาเป็นเช่นไร” กู้เจาเป่ยกระซิบถาม
นางยกมือชี้ “ตรงนั้นควรมีม่านแพรบางสีแดงอ่อน บนโต๊ะปูผ้าปักลาย เหนือบันไดประดับผ้าแพรหลากสี มีสตรีแต่งกายวับๆ แวมๆ…”
กู้เจาเป่ยพยักหน้า “อ่านมาจากหนังสือสินะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง เท่ากับยอมรับเงียบๆ ไม่ว่าอะไรนางก็อ่านมาจากหนังสือ นอกจากตำรับตำราต่างๆ ยังมีพวกหนังสือเบ็ดเตล็ด รวมไปถึงบันทึกเกี่ยวกับหอคณิกา…แต่ข้อนี้เห็นจะพูดออกไปไม่ได้
“ทั้งหญิงขับร้องเพลงและหญิงร่ายรำล้วนแต่ลำบาก” กู้เจาเป่ยเอ่ยเนิบช้า “วันเปลี่ยนเดือนผ่าน สังขารย่อมร่วงโรยไปตามวัย หากินได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น หากไม่เก็บหอมรอมริบไว้เลี้ยงตัวยามแก่ ดีไม่ดีออกจากที่นี่ไปอาจอดตายก็ได้”
เสิ่นกุยเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยพลางมองหญิงคณิกาสองคนตรงหน้า ท่าทางเพิ่งอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น หน้าตาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไร้เครื่องประทินโฉมแต่งแต้ม ยามไม่มองใคร ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
ที่ผ่านมานางนึกว่าหอคณิกาเป็นแหล่งผลาญทรัพย์ สตรีที่อยู่ในนี้ล้วนเหลวแหลกและรักเงิน ที่แท้ยังมีเบื้องหลังเช่นนี้
นางยกมือขึ้นคลำตามตัว ชุดนี้เพิ่งเปลี่ยนเมื่อเช้า ในถุงมีเงินเพียงสองสามตำลึง ซ้ำยังเป็นเบี้ยรายเดือนของเดือนก่อนที่นางอดออมไว้ เห็นเงินน้อยนิดแค่นี้ก็ให้สะทกสะท้อนใจนัก แต่หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็ยังวางเงินลงบนโต๊ะ
“ทำอะไร” กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว
“ค่าอาหารเช้า” นางก้มหน้าตักโจ๊กกินจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางกล่าว “จะกินของผู้อื่นเปล่าๆ ได้อย่างไร”
“แต่ก็ไม่ต้องจ่ายเยอะถึงเพียงนี้หรอก” กู้เจาเป่ยหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “ข้ามากินข้าวที่นี่ไม่เคยต้องจ่ายเงิน”
อิ๋งมามายกอาหารว่างเดินเข้ามาพอดี เสิ่นกุยเยี่ยนเห็นดังนั้นก็รีบคว้าแขนกู้เจาเป่ยวิ่งออกไปข้างนอกสุดชีวิต
“นี่!” เขาถูกนางฉุดจนร่างเซวูบ ได้แต่วิ่งหัวทิ่มหัวตำตามหลังมา
เสิ่นกุยเยี่ยนกลัวว่าอิ๋งมามาจะคืนเงินให้ตน ถูกแล้วว่าเงินสองตำลึงไม่น้อย แต่ในสถานที่เช่นนี้ไม่ถือว่ามาก นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดความคิดว่าต้องจ่ายเงินถึงได้ผุดขึ้นมาในสมอง แต่ถึงอย่างไรก็หนีก่อนเป็นดี
พอออกมาข้างนอกเสิ่นกุยเยี่ยนกลับขึ้นม้าไม่เป็น นางมองกู้เจาเป่ยอย่างร้อนรน “รีบอุ้มข้าขึ้นไปสิ”
อุ้ม? ไม่กลัวคำครหาแล้วหรือ กู้เจาเป่ยตาเป็นประกายแล้วยื่นมือออกไปอุ้มนางขึ้นบนหลังม้า เสิ่นกุยเยี่ยนจับบังเหียนเอาไว้ รอจนเขานั่งอย่างมั่นคงแล้วนางก็ร้องเลียนแบบเขา “ย่าห์!”
ม้าร้องฮี้ทีหนึ่งก่อนจะพุ่งทะยานออกไป เสิ่นกุยเยี่ยนกลั้นเสียงหวีดร้องเอาไว้ ปรับตัวให้คุ้นชินกับความเร็วและความโขยกเขยกสั่นคลอนบนหลังอาชา แล้วพบว่าการขี่ม้านั้นสนุกเอาการ
ทว่ากู้เจาเป่ยกลับตกใจแทบตายเพราะนาง รีบแย่งบังเหียนแทบไม่ทัน “แค่เงินสองตำลึงเท่านั้นเอง ให้ก็ให้ไปแล้ว ไยต้องหนีเสียเร็วถึงเพียงนี้ด้วย”
เสิ่นกุยเยี่ยนใบหูแดงวาบ เม้มปากไม่ยอมตอบ
กู้เจาเป่ยหัวเราะเบาๆ อย่างสุดกลั้น แล้วดึงบังเหียนมาถือไว้เอง “ตอนแรกข้าตั้งใจจะรอพวกพี่สาวตื่นนอนแล้วมาร่ายรำให้เจ้าชมสักเพลง แต่ในเมื่อหนีออกมาแล้วก็ตรงไปเขาลั่วสยาเลยแล้วกัน”
ตามหลักแล้วช่วงเวลาที่เหมาะจะไปเขาลั่วสยาที่สุดคือย่ำเย็น เพราะจะได้ชมแสงอัสดงอันงดงาม แต่เห็นชัดว่าทั้งคู่ไม่มีเวลาโอ้เอ้ถึงเย็นได้ จึงต้องรีบไปที่นั่นก่อนจะถูกคนจากจวนสกุลเสิ่นจับตัวกลับไป
ส่วนเหตุผลว่าเหตุใดต้องไปที่เขาลั่วสยานั้นกู้เจาเป่ยไม่ได้บอก เสิ่นกุยเยี่ยนเองก็ไม่ได้ถาม
บนเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมศพทั้งเก่าทั้งใหม่กระจัดกระจายอยู่ทั่วเขา กู้เจาเป่ยพานางไปหยุดยืนหน้าหลุมศพใหม่หลุมหนึ่ง
ฉินอี๋เหนียงเป็นคนสกุลเสิ่น หากชาติกำเนิดดีกว่านี้สักนิดก็สามารถฝังร่างในสุสานประจำตระกูลได้ ทว่าแต่เดิมเป็นเพียงสาวใช้ ซ้ำยังถูกเสิ่นฮูหยินชังน้ำหน้า ศพจึงถูกส่งไปยังโรงทึมอนาถาแล้วฝังอย่างเรียบง่าย
ตัวอักษรที่สลักบนป้ายหินทำให้เสิ่นกุยเยี่ยนตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่นาน
‘หลุมศพเสิ่นฉินซื่อ ตั้งโดยกุยเยี่ยน บุตรสาวอกตัญญู*’