เสิ่นหานลู่ดูดปากแผลนางสลับกับบ้วนทิ้งซ้ำๆ เลือดที่บ้วนออกมาเป็นสีดำจริงๆ เป่าซั่นตะลีตะลานออกไปสั่งให้คนรายงานฮ่องเต้ ฝ่ายหมอหลวงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
“เสิ่นเฟย ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเดินเข้ามาเห็นเสิ่นหานลู่กำลังบ้วนเลือดทิ้งก็รีบร้องห้าม “หากพิษงูไหลลงพระศอพระชายาเองจะทรงแย่ไปด้วย ให้กระหม่อมจัดการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะไปรู้อะไร” เสิ่นหานลู่รู้สึกหน้ามืด หลังบ้วนเลือดสีแดงออกจากปากก็ยกมือชี้ยิ้มๆ “ข้าเคยดูโทรทัศน์ ถ้าดูดเลือดทิ้งจนกลายเป็นสีแดงสดก็…ก็ปลอดภัยแล้ว”
ลิ้นเริ่มชาจนขนาดประโยคเดียวยังพูดตะกุกตะกัก เสิ่นหานลู่หันไปหมายจะพูดอะไรต่อ แต่พลันทรุดฮวบลงเสียก่อน
เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้วมองเจ้าตัว
คนเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในเวลาสั้นๆ ได้หรือ แต่ก่อนเสิ่นหานลู่ยังอยากให้นางตายอยู่เลยแท้ๆ เวลานี้กลับเข้ามาดูดเลือดพิษออกให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากพิษชนิดนี้ร้ายแรงจนถึงชีวิตจะทำเช่นไร
“พระชายา!” ซิ่วผิงรีบประคองเจ้านายไปอีกทาง หมอหลวงไม่ได้ดูอาการเสิ่นเฟย แต่เข้ามาจับชีพจรให้เสิ่นกุยเยี่ยนก่อน
“กุ้ยเฟยทรงมึนพระเศียรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงถาม
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “เมื่อครู่คลื่นไส้วิงเวียนเล็กน้อย แต่ตอนนี้หายแล้ว”
หมอหลวงมองเลือดที่ถูกบ้วนลงพื้นข้างตัว แล้วพรูลมหายใจอย่างโล่งอก “กุ้ยเฟยทรงปลอดภัยดี ดูท่าวิธีนี้ของเสิ่นเฟยจะทรงได้ผล เลือดพิษถูกดูดออกมาหมดแล้ว”
“เช่นนั้นนางเล่า” เสิ่นกุยเยี่ยนมองไปทางสตรีอีกคน
หมอหลวงจึงไปดูอาการเสิ่นเฟย แล้วให้หน้าผิดสี “เสิ่นเฟยทรงถูกพิษงู งูที่จับได้เมื่อครู่อยู่ที่ใด เอางูมาก็ไม่น่าห่วงแล้ว”
เป่าซั่นเม้มปากถาม “นี่งูอะไรหรือเจ้าคะ”
หมอหลวงตอบ “งูหงอนระกา พิษร้ายแรงทีเดียว แต่ถ้างูยังอยู่ก็มีทางช่วย เพียงแต่เสิ่นเฟยคงต้องทรงทรมานสักหน่อย”
“จู่ๆ ในอ่างปลามีงูพิษได้อย่างไร” เป่าซั่นหันไปมองเจ้านาย “เมื่อเช้าตอนเก็บกวาดหม่อมฉันยังล้างอ่างใบนี้เองกับมือ ในอ่างไม่เห็นมีอะไรเลยเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย ได้แต่หลับตาสั่งว่า “ประคองเสิ่นเฟยไปนอนบนตั่งนุ่มตรงนั้นแล้วถอนพิษให้ก่อนเถิด เรื่องอื่นไว้ช่วยนางได้แล้วค่อยว่ากัน”
พวกขันทีช่วยกันจับงูเข้ามา หมอหลวงรีดพิษงูมาผสมยาถอนพิษ ขณะที่เสิ่นกุยเยี่ยนรออยู่ข้างๆ
งูพิษร้ายแรงถึงเพียงนี้ หากไม่เพราะเสิ่นหานลู่มีอาการตอบสนองฉับไว คนที่นอนอยู่บนตั่งในเวลานี้คงเป็นนาง
กู้เจาเป่ยรีบร้อนมาตำหนักหย่งเหอจนพระมาลาบนศีรษะเบี้ยว พอเข้ามาข้างในก็ถลาไปทางตั่งนุ่มทันที
“ฝ่าบาท” เสิ่นกุยเยี่ยนส่งเสียงเรียก “หม่อมฉันปลอดภัยแล้วเพคะ”
เขาหันมาแล้วขมวดคิ้วมองมือที่ถูกพันผ้าไว้ของนาง “เกิดอะไรขึ้น”
นางมองเสิ่นหานลู่ที่อยู่บนตั่ง แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้เขาฟัง หัวคิ้วของกู้เจาเป่ยยิ่งขมวดมุ่น “จู่ๆ จะมีงูพิษเลื้อยเข้าตำหนักได้อย่างไร เมื่อครู่มีใครมาที่นี่บ้าง ไปตามกลับมาให้หมด”
ฮ่องเต้กำลังกริ้วหนัก ข้าราชบริพารรีบวิ่งออกไปถ่ายทอดคำสั่งเร็วรี่ ไม่ทันไรกลุ่มคนที่มาถวายคำนับเมื่อเช้าก็มาถึงทั้งหมด
กู้เจาเป่ยไม่แม้แต่จะปรายตามองเสิ่นหานลู่ เอาแต่ถามหมอหลวงซ้ำๆ ให้แน่ใจว่าตัวเยี่ยนกุ้ยเฟยและเด็กในครรภ์ไม่เป็นอันตราย จากนั้นก็นั่งหน้าบึ้งเตรียมหาตัวคนเอางูมาปล่อย
สตรีตำหนักในจำนวนมากไม่เคยได้พบฮ่องเต้มาก่อน วันนี้นับเป็นครั้งแรก แม้จะตื่นเต้นสุดขีด ทว่าเมื่อสบประสานกับสายตาคมกริบเย็นชาของเจ้าแผ่นดิน ทุกคนก็รีบระงับความรู้สึกอื่นเอาไว้
ไม่จำเป็นต้องพูดกันให้มากความว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานเพียงใด บัดนี้มีงูโผล่ออกมาในตำหนักที่เจ้าตัวเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ ไม่ว่าคนทำคือใคร หากถูกจับได้มีแต่จะต้องโทษสถานหนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยกลัวจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย
นางกำนัลทุกคนที่ช่วยจัดห้องด้านในเมื่อเช้าล้วนแต่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง