เป่าซั่นเอ่ย “ผู้ใดจัดเก็บ ผู้ใดเช็ดทำความสะอาดข้าวของ มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนเพคะ อ่างปลาไนวางอยู่บนชั้นฝั่งตะวันออก คนที่ผ่านและทำงานตรงนั้นมีเพียงฮวาหรุ่ยนางกำนัลของสีเฟย ซิ่วผิงนางกำนัลของเสิ่นเฟย และชิงจู๋นางกำนัลของฟู่กุ้ยเหริน…แต่ไม่ใช่ซิ่วผิงแน่เพคะ”
ฮ่องเต้ที่รับฟังอยู่เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
“เพราะตอนหม่อมฉันส่งกาน้ำชาให้ซิ่วผิง แต่นางรับไม่ดี น้ำชาเลยหกเข้าไปในแขนเสื้อ ตอนที่หม่อมฉันช่วยเช็ดให้ไม่เห็นนางเก็บสิ่งใดไว้ในแขนเสื้อ เวลานั้นไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในอ่างเช่นกันเพคะ” เป่าซั่นตอบอย่างเคร่งเครียด “ส่วนนางกำนัลอีกสองคนที่เหลือหม่อมฉันไม่ทราบ”
ตอนได้ฟังเรื่องราว กู้เจาเป่ยสงสัยเสิ่นหานลู่มากกว่าใคร เพราะเป็นไปได้ว่านางจะสร้างเหตุขึ้นมาเรียกความสงสารเห็นใจจากเยี่ยนเอ๋อร์ แต่ในเมื่อเป่าซั่นเป็นพยานยืนยันเช่นนี้ย่อมตัดซิ่วผิงออกไปได้
นางกำนัลอีกสองคนที่เหลือนั้น นางหนึ่งเป็นคนของสีเฟย อีกนางหนึ่งเป็นคนของฟู่กุ้ยเหริน ฮ่องเต้โบกมือโดยไม่เสียเวลาคิด “ลากชิงจู๋ไปลงโทษตามกฎวังหลวง ส่วนฟู่กุ้ยเหรินให้ขังไว้ในศาลราชวงศ์”
ฟู่โหย่วอี๋ตกตะลึง หน้าซีดเผือดถนัดตา “ฝ่าบาท”
สีเฟยหันมามองอย่างประหลาดใจ “ฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรเพคะว่าเป็นฝีมือนาง”
ไม่ใช่นางแล้วเป็นเจ้าหรือไรเล่า กู้เจาเป่ยทอดถอนใจเงียบๆ กับตนเอง สุ่ยเซียนช่างโง่เขลาเหลือเกิน เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเชื่อใจนาง แต่นางกลับถามเช่นนี้
“หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ!” ฟู่กุ้ยเหรินทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะซ้ำๆ “เยี่ยนกุ้ยเฟยทรงเป็นพยานได้ คนแรกที่อาสาช่วยจัดตำหนักคือสีเฟย หม่อมฉันยังทักท้วงด้วยซ้ำ แล้วจะให้ชิงจู๋เอางูพิษไปปล่อยในอ่างใบนั้นได้อย่างไร หม่อมฉันไม่ทราบเสียหน่อยว่าข้ารับใช้เข้าไปห้องด้านในตำหนักของกุ้ยเฟยได้!”
สีเฟยก้าวออกมาคุกเข่าก่อนพูดอย่างไม่พอใจ “หม่อมฉันไม่มีเหตุผลต้องทำร้ายกุ้ยเฟยเพคะ”
“อืม เรารู้” กู้เจาเป่ยโบกมือ “ฟู่กุ้ยเหรินไม่ต้องแก้ตัวแล้ว ลากตัวออกไป”
“ฝ่าบาท!” ฟู่โหย่วอี๋ดิ้นขัดขืน “ถึงอย่างไรท่านปู่ของหม่อมฉันก็จงรักภักดีต่อราชวงศ์มานานปี ฝ่าบาทจะทรงตัดสินโทษหม่อมฉันทั้งที่ยังไม่ได้สืบสวนได้หรือเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมรับผิดหรอก!”
หวาเฟยขมวดคิ้วแล้วหันไปพูดกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ฟู่กุ้ยเหรินผู้นี้กับราชบัณฑิตฟู่เป็น…”
“เรารู้” กู้เจาเป่ยหัวเราะเบาๆ “เราบอกหรือว่าจะตัดสินโทษนาง นำตัวไปขังไว้ในศาลราชวงศ์ก่อน อยากให้เราสืบสวนเรื่องนี้ เราก็จะให้คนสืบสวน หากกล่าวหาเจ้าผิดไป เราจะขอโทษดีหรือไม่”
ฟู่กุ้ยเหรินน้ำตาร่วงพรูอย่างคับข้องใจเหลือประมาณ แล้วมองสีเฟยด้วยแววตาแค้นเคือง “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเชื่อคนผิดเด็ดขาดนะเพคะ”
สีเฟยขมวดคิ้วแล้วขยับปากจะตอบโต้ แต่เสิ่นกุยเยี่ยนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ กดมือนางไว้ก่อน
เมื่อฟู่กุ้ยเหรินถูกนำตัวออกไป ความเงียบก็ปกคลุมตำหนักใหญ่
“เยี่ยนกุ้ยเฟยกำลังตั้งครรภ์ จำเป็นต้องพักผ่อน เวลาปกติหากพวกเจ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าได้มารบกวนนางดีกว่า” กู้เจาเป่ยกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยเบาๆ “เราจะสืบสวนเรื่องวันนี้ให้กระจ่าง สตรีที่กล้าทำร้ายผู้อื่นในตำหนักใน ต่อให้งดงามเพียงใดเราก็ไม่เก็บไว้”
เหล่าสนมชายาค้อมศีรษะเงียบๆ
“เสิ่นเฟยมีความดีความชอบที่ช่วยเยี่ยนกุ้ยเฟย เราจะตกรางวัลให้ ไว้นางพอจะฟื้นคืนสติเมื่อไรก็ให้คนพาส่งกลับตำหนักลู่หวา เรายังมีงานต้องทำ จะกลับไปห้องทรงพระอักษรก่อน”
เดิมทีเขากำลังประชุมงานอยู่ในนั้น นี่ออกมากลางคันไม่รู้จะมีใครไม่พอใจหรือไม่
“น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เสิ่นกุยเยี่ยนลุกขึ้นมาย่อกายคารวะ จวบจนฮ่องเต้เดินออกไปไกลแล้วนางถึงค่อยกลับไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน
ฟู่กุ้ยเหรินถูกลากตัวออกไปแล้ว แต่เพราะจะมีการสืบสวนคดี ชิงจู๋จึงยังไม่ได้ออกไปรับโทษ
นางกำนัลน้อยผู้น่าสงสารสั่นพั่บๆ ไปทั้งตัว หน้าผากเปียกชุ่มราวกับเพิ่งรอดชีวิตกลับมาจากประตูนรกก็มิปาน
“พระชายาน่าจะส่งชิงจู๋ไปขังคุกด้วยสิเพคะ” หวาเฟยเตือนเบาๆ “ไว้ได้ความกระจ่างเมื่อไรค่อยจัดการก็ได้”
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าแล้วพูดพลางมองนางกำนัลน้อย “นางจะอยู่ทำงานในตำหนักหย่งเหอ”
ทุกคนตกตะลึงกันถ้วนหน้า แม้แต่สีเฟยยังขมวดคิ้ว “เหตุใดพระชายาถึงได้ทรงรับตัวนางไว้ หากนางเอางูพิษมาปล่อยอีกจะทำอย่างไร”
“ไม่มีหลักฐานเสียหน่อยว่านางเป็นคนปล่อย” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้ม “เมื่อครู่เป็นเพียงพระวินิจฉัยของฝ่าบาทเท่านั้นไม่ใช่หรือ”