ความลนลานฉายขึ้นในดวงตาเด็กหญิง ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามไปด้วยเหตุผลใด แต่ลองคิดหน้าคิดหลังก็ไม่เห็นว่ามีจุดใดเผยพิรุธจึงตอบเสียงเบา “หนึ่งปีก่อนครอบครัวของหม่อมฉันตกอับ จึงขายตัวเข้าสกุลฟู่แล้วถูกคุณหนูเลือกเป็นสาวใช้ จนสุดท้ายได้ตามเข้ามาอยู่ในวังหลวงเพคะ”
ช่วงเวลาไม่นาน เช่นนั้นก็ใคร่ครวญง่ายแล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนดึงนางมาวัดความสูง แม่หนูคนนี้สูงเลยอ่างปลาไนบนชั้นมาเพียงช่วงศีรษะเท่านั้น หากจะใส่อะไรเข้าไป คาดว่าจะต้องเอื้อมมือไปดึงอ่างให้เอียงลงมาก่อน
“วันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าอยู่กับฟู่กุ้ยเหรินไม่ปลอดภัย ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อนาง ขนาดไม่มีหลักฐานยังมีรับสั่งให้จับนางไปขังในศาลราชวงศ์ ชีวิตคนตัวเล็กๆ อย่างเจ้ายิ่งรักษาไว้ได้ยากเข้าไปใหญ่”
เสิ่นกุยเยี่ยนเดินไปนั่งที่ตั่งนุ่มแล้วยิ้มละไม “ข้าเห็นเจ้าน่าสงสาร เลยตั้งใจจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้เจ้าสวมชุดนางกำนัลตำหนักหย่งเหอก็ทำงานในตำหนักส่วนหน้าไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน ไว้คดีของฟู่กุ้ยเหรินได้ความกระจ่างเมื่อใดค่อยตัดสินใจอีกทีว่าเจ้าจะไปหรือจะอยู่ต่อ ดีหรือไม่”
ชิงจู๋คุกเข่าลงโขกศีรษะอย่างซาบซึ้ง เนื้อตัวยังคงสั่นระริกดังเดิม รู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น
“เอาล่ะ เจ้าเองก็ออกไปเถิด” เสิ่นกุยเยี่ยนสั่ง “ฝ่าบาทตรัสว่าอีกสักพักจะทรงส่งคนมาสืบคดี ข้าวของส่วนหลังของตำหนักนี้เจ้าอย่าแตะต้องเด็ดขาด เพราะประเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บหลักฐาน”
“เพคะ” ชิงจู๋หลุบตาลงแล้วถอยกลับออกไปอย่างเร่งร้อน
“พระชายาตั้งพระทัยจะทำอะไรเพคะ” เป่าซั่นเข้ามาถามใกล้ๆ ด้วยความฉงน “หรือว่าทรงสงสัยสีเฟย?”
ผู้เป็นนายส่ายหน้า “เขาเชื่อใจใคร ข้าย่อมไม่สงสัยผู้นั้น ข้าเพียงเกิดความกังขาว่าฝ่าบาททอดพระเนตรเพียงปราดเดียว เหตุใดถึงได้แน่พระทัยว่าเป็นฟู่กุ้ยเหริน เมื่อครู่ข้ารั้งตัวแม่หนูน้อยมาจับสังเกตก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจอะไรหรือเพคะ” เป่าซั่นทำหน้าเหลอหลา เสิ่นกุยเยี่ยนใช้นิ้วเคาะหน้าผากอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ
“เด็กโง่ เจ้าเคยเห็นงูนั่นหรือไม่เล่า”
เป่าซั่นนิ่งคิด “ไม่เคยเลยเพคะ งูทั่วไปไม่ได้สวยเช่นนี้ ดูก็รู้แล้วว่าต้องมีพิษ”
“เช่นนั้นหากข้าสั่งให้เจ้าเอางูเช่นนี้ไปปล่อย เจ้ากล้าทำหรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนถามยิ้มๆ
เป่าซั่นย่นจมูก เอ่ยอย่างลำบากใจ “พระชายาอย่าทรงถามคำถามเช่นนี้เลยเพคะ หม่อมฉันกลัวตายอย่างกับอะไร ให้ปล่อยงูธรรมดายังกล้า แต่ถ้ารู้ว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง อย่างไรหม่อมฉันก็กลัวเพคะ”
งูหงอนระกาตัวนั้นสีสันสดสวย นางสงสัยเสียจริงว่าผู้ใดกันกล้าจับมาปล่อย ช่างไม่กลัวว่างูจะแว้งฉกตนเองบ้างหรือไร
“สาวใช้ทั่วไปต้องอายุสิบสามสิบสี่ถึงจะได้เป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนู แต่ชิงจู๋เพิ่งอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น เจ้าไม่แปลกใจหรือ”
เป่าซั่นคิดตาม “แปลกใจน่ะแปลกใจอยู่หรอกเพคะ แต่นั่นเป็นเรื่องของฟู่กุ้ยเหริน นางกำนัลอายุน้อยสักหน่อยจะเป็นไรไป ทำงานรับใช้เป็นก็พอแล้ว”
“อืม ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องทำงานรับใช้เช่นนั้นเป็นด้วย แต่นางอายุน้อยยังไม่รู้ความ เป็นเด็กที่มีแต่สิ่งที่ไม่รู้จัก” เสิ่นกุยเยี่ยนทอดถอนใจ “ข้าพูดถึงเพียงนี้แล้ว หากเจ้ายังคิดตามไม่ได้อีก ข้าก็จนปัญญา”
เป่าซั่นไปนั่งยองๆ กุมขมับเค้นสมองคิดคนเดียว
ยังเด็กอยู่แล้วอย่างไรเล่า ยังเด็กอยู่…ช้าก่อน
หากยังเด็กอยู่ก็คงไม่กลัวสัตว์มีพิษที่ตนเองไม่รู้จักสินะ ไม่รู้ย่อมไม่กลัว นี่คือความหมายของนายหญิงใช่หรือไม่
ชิงจู๋เป็นคนเอางูพิษตัวนั้นมาปล่อยจริงๆ หรือ เช่นนั้นเหตุใดนายหญิงถึงได้รับอีกฝ่ายเอาไว้ในตำหนักหย่งเหอแทนที่จะส่งไปขังเหมือนอย่างฟู่กุ้ยเหรินเล่า
นอกจากนั้นเหตุใดฟู่กุ้ยเหรินถึงได้ข้ามขั้นมาปองร้ายชายาระดับกุ้ยเฟยตั้งแต่แรก ตนเองเป็นเพียงกุ้ยเหริน น่าจะค่อยๆ ไล่ขึ้นมาทีละระดับมากกว่า
เป่าซั่นครวญครางออกมาเพราะใช้ความคิดจนปวดหัว จากนั้นก็สลัดศีรษะ ไม่รู้ไม่สนแล้ว รอคนมาสืบแล้วกัน เป็นคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรอย่าข้าก็ดีเหมือนกัน…จริงๆ นะ