คนของกรมอาญามาค้นตำหนักหย่งเหอโดยละเอียดแต่ไม่พบอะไรทั้งสิ้น ชิงจู๋ยืนตัวสั่นเทารออยู่ข้างนอกโดยมีเป่าซั่นยืนข้างๆ
“หนาวหรือ” เป่าซั่นกระซิบถาม
เด็กหญิงส่ายหน้าแล้วตอบเสียงเบา “ข้าแค่กลัวเจ้าค่ะ งูพิษตัวนั้นน่ากลัวยิ่งนัก…”
เป่าซั่นหัวเราะ “มีอะไรต้องกลัวกันเล่า งูไม่อยู่แล้วมิใช่หรือ เมื่อครู่ข้าได้ยินคนของกรมอาญาบอกว่างูชนิดนี้หายากยิ่ง ใช่จะพบได้ง่ายๆ เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานต้องสืบรู้ความจริงอย่างแน่นอน”
ชิงจู๋ชะงัก จากนั้นก็พยักหน้า “ไม่เคยเห็นงูเช่นนี้มาก่อนจริงๆ นั่นล่ะเจ้าค่ะ”
“แบบใดหรือ” เป่าซั่นถามอย่างไม่ใส่ใจ
ชิงจู๋ยกมือทำท่าทาง “ก็ลำตัวสีแดงสด บนหัวมีหงอนเหมือนไก่น่ะสิเจ้าคะ”
“เจ้าเห็นเมื่อใดกัน” เป่าซั่นยิ้มละไม “ข้าจำได้ว่าตอนงูนั่นฉกกุ้ยเฟย เจ้าไม่ได้อยู่ในตำหนักหย่งเหอนี่?”
นางกำนัลน้อยหน้าซีด ร่างเล็กยิ่งสั่นพั่บๆ ขณะยกมือตบปากตนเอง น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ “ข้าพูดจาส่งเดชน่ะเจ้าค่ะพี่เป่าซั่น”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ ไม่ต้องลนลานไป กุ้ยเฟยทรงให้เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่สงสัยเจ้าหรอก” เป่าซั่นบอกเบาๆ “ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จะได้ลบล้างข้อสงสัยให้เจ้าโดยเร็ว”
ชิงจู๋พยักหน้าเกร็งๆ
ไม่ทันไรคนของกรมอาญาก็เดินออกมา ชิงจู๋วิ่งไปยืนแอบอีกทางด้วยความกลัว จวบจนพวกนั้นออกจากตำหนักไปแล้ว นางถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ชิงจู๋ มานี่เร็ว” เป่าซั่นยืนกวักมือเรียกตรงประตูตำหนักใหญ่
เด็กหญิงรีบเดินไปหา “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
อีกฝ่ายสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกใต้เท้ากรมอาญาบอกว่าคนร้ายทิ้งรอยนิ้วมือไว้บนอ่างปลาไน เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปหาแป้งที่ละเอียดที่สุดมาโรยผิวอ่าง หากรอยนิ้วมือโผล่ออกมา ทีนี้ก็จะชี้ตัวได้แล้วว่าคนร้ายคือใคร”
ชิงจู๋เบิกตากว้าง “ทะ…ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“อืม เจ้าเฝ้าไว้ดีๆ เล่า พระชายาทรงนอนกลางวันแล้ว อย่าส่งเสียงดังให้ทรงตื่นเชียว” เป่าซั่นเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
ชิงจู๋ยืนหน้าประตูตำหนักใหญ่ของตำหนักหย่งเหอ มือเล็กขยุ้มชายเสื้อแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หมุนตัวย่องเข้าไปข้างใน หยิบผ้าเช็ดหน้า โน้มอ่างปลาไนลงมาเล็กน้อย จากนั้นก็เช็ดถูโดยแรง
“นางหลอกเจ้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
เด็กน้อยสะดุ้งโหยง มือ
กระตุกวูบ อ่างปลาไนตกลงพื้นแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ
เพล้ง! เสียงดังก้อง เป่าซั่นนำขันทีจำนวนหนึ่งรีบรุดเข้ามาดู
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งพิงหัวเตียงมองเด็กหญิงที่สั่นระริกไปทั้งตัว นางมิได้เอ็ดอึงใส่ เพียงกวักมือเบาๆ “ชิงจู๋ มานี่ซิ”
ชิงจู๋แทบร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ยามนี้ฟู่กุ้ยเหรินไม่อยู่ด้วย ไม่มีใครบอกนางว่าควรทำเช่นไร พอสบประสานกับดวงเนตรของเยี่ยนกุ้ยเฟย นางรู้สึกว่าตนเองทำอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง
นางกำนัลน้อยค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างอิดออด ไม่กล้าเงยหน้า เสียงก็สั่นสะท้านเช่นกัน “หม่อมฉัน…หม่อมฉันแค่จะทำความสะอาดเพคะ…”
“วันนี้ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าเป็นนางกำนัลที่รับผิดชอบงานส่วนหน้าของตำหนัก เข้ามาส่วนหลังเท่ากับทำผิดรู้หรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนถามอย่างอ่อนโยน
ชิงจู๋ขยับปาก ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
“อ่างใบนี้เป็นของพระราชทาน เมื่อเจ้าทำแตก ข้าจึงช่วยปกป้องเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
ชิงจู๋สะดุ้งเฮือก น้ำตาร่วงพรูเป็นสาย “หม่อมฉันยังไม่อยากตายเพคะ”
ไม่มีใครอยากตายหรอก นางไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร ผู้คนในวังหลวงล้วนแต่ดูเย็นชา นางไม่เคยทำอะไรถูกสักอย่างเดียว มีแต่ยามฟู่กุ้ยเหรินอยู่ด้วยเท่านั้นนางถึงรู้ว่าควรต้องทำอะไร ต้องพูดอย่างไร แต่เยี่ยนกุ้ยเฟยกลับรับตัวนางไว้
“เด็กต้องพูดความจริงถึงจะเป็นเด็กดี…รู้หรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนใช้น้ำเสียงหลอกล่อเด็ก “ตอนนี้เจ้ามีโทษถึงตายแล้ว หากเจ้ายอมเล่าให้ข้าฟังว่าเรื่องงูตัวนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้าจะคิดหาทางปล่อยเจ้าออกจากวังหลวง แต่หากเจ้ายังโกหกอีก ข้าก็ทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาลากเจ้าออกไปเท่านั้น”
ชิงจู๋ได้ฟังดังนั้นก็ลนลาน สายตาอ่อนโยนของเสิ่นกุยเยี่ยนที่ได้เห็นเมื่อเงยหน้าขึ้นทำให้นางรู้สึกเหมือนคนใกล้จมน้ำแล้วเห็นเศษฟางลอยมาให้คว้าไว้ “พระชายาโปรดทรงช่วยหม่อมฉันด้วย ก่อนเข้าวังหลวงหม่อมฉันถูกสั่งมาว่าต้องเชื่อฟังฟู่กุ้ยเหรินเป็นอย่างดี หากหม่อมฉันพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด น้องชายกับมารดาของหม่อมฉันจะตายกันหมดเพคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.