บทที่ 133 พยาน
เรื่องราวชักไปกันใหญ่ กระทบไปถึงคนในครอบครัวเลยหรือ เสิ่นกุยเยี่ยนอยากรู้ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างยิ่งจึงโบกมือสั่งให้เป่าซั่นพาคนอื่นออกไป จากนั้นจึงมองเด็กน้อย “เวลานายเจ้าเห็นข้ายังต้องคำนับให้ ดังนั้นเจ้ามีอะไรก็บอกข้าได้ทุกอย่าง ข้าจะช่วยออกหน้าให้เอง”
ชิงจู๋ทรุดตัวฮวบลงหน้าเตียง หลังจากมองเสิ่นกุยเยี่ยนอยู่นานก็กัดฟันบอก “หม่อมฉันเป็นคนปล่อยงูตัวนั้นเองเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ตอนพี่สาวในวังหลวงเอางูตัวนั้นมาให้ยังบอกว่าเป็นของดี หากแอบเอามาปล่อยในห้องพระชายาให้แปลกพระทัยเล่น พระชายาจะประทานรางวัลให้เจ้านายหม่อมฉันอย่างงาม หม่อมฉันเห็นงูสีสันสดสวย เข้ากับอ่างปลาไนของพระชายายิ่งนัก เลยกล้าปล่อยมันลงในอ่างเพคะ”
เด็กน้อยไม่รู้ความจริงเสียด้วย ถูกหลอกง่ายดายเหลือเกิน พวกนั้นคงไม่ทันคิดสินะว่าในเมื่อเด็กถูกหลอกง่าย จะปะเหลาะให้พูดความจริงก็ทำได้ง่ายเช่นกัน ที่เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ต้องการให้จับชิงจู๋ไปขังไว้ด้วยกันกับฟู่กุ้ยเหรินก็เพราะไม่อยากให้เด็กหญิงถูกเจ้านายสอนว่าต้องพูดอย่างไร เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะสืบหาความจริงลำบากยิ่งขึ้น
“พี่สาวคนใดในวังหลวงให้มา” เสิ่นกุยเยี่ยนถามต่อ
ชิงจู๋ตอบตามตรง “พี่เหอหรงที่รับใช้อยู่ที่ตำหนักชั้นในของตำหนักเหอฮวนเพคะ นางออกจากสกุลฟู่มาพร้อมหม่อมฉัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ทำผิด จึงถูกฟู่กุ้ยเหรินลงโทษให้ไปทำงานหลังตำหนัก หม่อมฉันเลยได้เลื่อนมารับใช้ฟู่กุ้ยเหรินแทน”
ไม่เช่นนั้นเด็กหญิงอายุเพียงเท่านี้จะกลายเป็นคนสนิทที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายไปทุกที่ได้อย่างไร
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “ไปหาพี่เป่าซั่นของเจ้า เล่าเรื่องมารดากับน้องชายเจ้าให้นางฟัง นางจะหาทางจัดการให้เจ้าเอง ประเดี๋ยวตอนค่ำเมื่อข้าให้เจ้ามาพูด เจ้าต้องเล่าเรื่องอย่างที่เล่าให้ข้าฟังถวายฮ่องเต้อีกครั้ง เข้าใจหรือไม่”
ชิงจู๋พรูลมหายใจยาวเหยียดแล้วหมอบคำนับ “ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเมตตาเพคะ!”
วังหลวงแห่งนี้เกิดเรื่องได้ไม่หยุดหย่อน คนที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งยังกล้าทำร้ายผู้อื่น วันนี้นางเกือบถูกเล่นงานอยู่แล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นเป่าซั่นก็เข้ามารายงาน “พระชายา อีกประเดี๋ยวเกาซื่อจะมาแล้ว จะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์หรือไม่เพคะ”
ในใจเสิ่นกุยเยี่ยนพลันปลอดโปร่งขึ้นเมื่อนึกถึงเกาจิ่นซิ่ว นางอมยิ้ม “ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก ให้พบทั้งอย่างนี้ล่ะ ไม่ว่าข้าอยู่ในสภาพน่าอนาถเพียงใดนางก็เคยเห็นมาหมดแล้ว”
สมัยเด็กๆ เมื่อถูกทุบตี นางจะมุดช่องสุนัขลอดด้านหลังจวนไปจวนสกุลเกา จวนของทั้งสองอยู่ไม่ไกลกัน ทั้งอูซื่อยังเอ็นดูนางเสมอ คอยใส่ยาให้ จากนั้นก็ให้เกาจิ่นซิ่วมาเล่นกับนาง พออาการดีขึ้นบ้างแล้วถึงค่อยกล้ากลับจวนไปให้ฉินอี๋เหนียงเห็น
ไม่ว่าจะตอนที่นางมีแผลเต็มตัวหรือตอนที่นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลอย่างเจ็บช้ำ เกาจิ่นซิ่วก็เคยเห็นมาหมดแล้ว พวกนางเติบโตมาด้วยกันหลายปี ยังต้องทำเป็นคนอื่นคนไกลไปไยเล่า
“ถวายพระพรเยี่ยนกุ้ยเฟยเพคะ” เกาจิ่นซิ่วเดินเข้ามาแล้วทำท่าจะย่อกายคารวะ แต่เสิ่นกุยเยี่ยนปรามไว้อย่างหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “ไม่ได้เจอกันเพียงปีสองปีก็ห่างเหินกันเสียแล้ว จิ่นซิ่ว ข้าเคลื่อนไหวมากนักไม่ได้ เจ้าอย่าถือโอกาสแกล้งข้าสิ มานั่งข้างข้านี่มา”
อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งด้วยสีหน้าอมทุกข์ “ข้าเข้ามาอยู่ในวังหลวงได้ครึ่งเดือนแล้ว ไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือได้เจอเจ้าเสียทีจนแทบสิ้นหวังอยู่รอมร่อ เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งก็ตอนที่มีการปูนบำเหน็จในตำหนักในนี่เอง”
แรกเริ่มเดิมทีสตรีตำหนักในล้วนเป็นสตรีที่เหวินไทเฮาหามาใส่ทั้งนั้น ฮ่องเต้ยุ่งตัวเป็นเกลียว ไม่มีเวลาเรียกมารับใช้ จะเลือกค้างคืนในตำหนักสนมชายาที่ตนเองคุ้นเคยเท่านั้น เกาซื่อจึงไม่มีโอกาสได้พบเสิ่นกุยเยี่ยนเลย
เสิ่นกุยเยี่ยนได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้มาอยู่ดูแลกันในวังหลวงย่อมดีอยู่แล้ว ทว่า…ก็เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่งยวดด้วยเช่นกัน
เกาซื่อเฉลียวฉลาดอ่อนโยน ติดจะซุกซนเล็กน้อย ทว่าก็รอบรู้ในธรรมเนียมมารยาท สตรีเช่นนี้น่าจะต้องใจกู้เจาเป่ยอย่างยิ่ง
เกาจิ่นซิ่วเห็นสีหน้าสหายก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่ จึงเม้มปากเอ่ยขึ้น “ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าเสียที ข้ามีเรื่องอยากขอร้องอยู่พอดี”
“เรื่องอะไรหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนเลิกคิ้ว