“ตอนนี้เจ้าเป็นกุ้ยเฟยแล้ว มีอำนาจจัดสรรให้สตรีฝ่ายในผลัดกันถวายงานบนพระแท่น” คนพูดกัดฟัน “เอาป้ายชื่อข้าออกจากสำนักพระราชวังเถิด ไว้ให้ข้าอายุครบสิบแปดเมื่อไร ข้าก็จะไปจากที่นี่”
เสิ่นกุยเยี่ยนผงะ “เพราะเหตุใดกัน”
เกาจิ่นซิ่วถามอย่างไม่พอใจ “เจ้านึกว่าข้าอยากเข้ามาอยู่ในวังหลวงนักหรือ ที่นี่มีอะไรดีกัน สตรีพวกนั้นจ้องแต่จะไต่เต้าขึ้นไปข้างบนทุกคน ไม่มีผู้ใดคบหากันอย่างจริงใจทั้งนั้น ซ้ำฮ่องเต้ยังไม่ทรงรักใครจริงสักคน เพียงเมตตาเจ้าเป็นพิเศษเท่านั้น แล้วจะแก่งแย่งชิงดีไปให้ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่างข้าก็แย่งกับเจ้าไม่ลงด้วย”
เห็นนางอาภัพน่าเวทนามาตั้งแต่เด็ก ใครจะรังแกนางลงอีกเล่า
“แต่ท่านพ่อของเจ้าน่าจะอยากให้เจ้าได้ดีอยู่ในวังหลวงกระมัง” เสิ่นกุยเยี่ยนท้วง “ใต้เท้าเกามีปณิธานยิ่งใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ปณิธานอะไรกัน ขายบุตรสาวตนเองเสียมากกว่า” คู่สนทนาพลันตาแดงเรื่อ “ข้าคัดค้านแทบตาย เขาก็ยังไม่สนใจ บังคับจับข้ายัดเข้ามาในวังหลวงจนได้ ขนาดพยายามอ้อนวอนยังไม่ใจอ่อน ข้าอยู่นอกวังหลวงใช่ว่าจะแต่งไม่ออกเสียหน่อย…”
นอกจากจะแต่งออกยังมีคนที่อยากแต่งงานด้วยมานานแล้ว ติดที่ท่านพ่อไม่ยินยอม!
เสิ่นกุยเยี่ยนเข้าใจแจ่มแจ้ง เกาจิ่นซิ่วมีชายในดวงใจจึงไม่อยากเข้าวังหลวง
“เช่นนั้นก็ไม่ยาก” เสิ่นกุยเยี่ยนใช้ความคิด “ถึงอย่างไรตำหนักในก็เหมือนตลาดสดอยู่แล้ว อยากได้หัวผักกาด ผักกวางตุ้ง หรือผักอะไรก็มีทั้งนั้น ขาดผักกาดขาวอย่างเจ้าไปสักหัวก็ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวข้าจะไปจัดการที่สำนักพระราชวังให้”
“ยิ่งใหญ่จริงเชียว” เกาจิ่นซิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อนางรับปาก ก่อนจะมองนางพลางหัวเราะคิก “สตรีพวกนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในตำหนักในต้องเป็นสนมชายาคนโปรดจึงจะยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าเห็นเจ้าได้ดีก็เบาใจแล้ว เพียงแต่เจ้าในตอนนี้อยู่ในฐานะยิ่งสูงยิ่งหนาว จะทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มากๆ เข้าไว้ เหตุการณ์เช่นที่เกิดขึ้นวันนี้นับว่าอันตรายน่ากลัวมากพอแล้ว”
เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก “เรื่องวันนี้ประเดี๋ยวพอทูลฝ่าบาทในตอนค่ำก็จะได้บทสรุปเอง ผู้ใดควรได้รับโทษย่อมหนีไม่พ้น”
เกาจิ่นซิ่วถามอย่างฉงนสงสัย “เจ้ารู้แล้วหรือว่าเป็นฝีมือของผู้ใด”
บอกสหายคนนี้คงไม่เป็นไร เสิ่นกุยเยี่ยนตอบเบาๆ “ชิงจู๋สารภาพแล้ว”
เกาจิ่นซิ่วชะงักไปก่อนจะทำท่าเข้าใจกระจ่างแจ้ง “เป็นฟู่กุ้ยเหรินจริงด้วย ตอนฝึกธรรมเนียมมารยาทกับหมัวมัวคนเดียวกัน ข้าตระหนักถึงพิษสงของนางมาแล้ว”
“มีเหตุใดหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนถามอย่างสนใจใคร่รู้
ประเด็นที่สหายสนิทชอบหยิบยกมาสนทนายามอยู่ด้วยกันมากที่สุดก็คือเรื่องของผู้อื่น ดังนั้นเกาจิ่นซิ่วที่นั่งข้างเสิ่นกุยเยี่ยนจึงพรั่งพรูออกมาโดยไม่รอช้า “ตอนที่ทุกคนยังเป็นนางกำนัลไม่อาจพาสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่นางกลับพามา เวลานี้ได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน ตำหนักคนอื่นอยู่ไกลและมีสาวใช้น้อย แต่นางกลับได้อยู่ตำหนักเหอฮวน มีสาวใช้ปรนนิบัติมากมาย ชิงจู๋ก็คนหนึ่งแล้ว ข้าจำได้ว่ายังมีอีกคนชื่อเหอหรง”
เสิ่นกุยเยี่ยนพูดอย่างนึกสนุก “มีคนหนุนหลังนี่นะ”
“ก็ใช่น่ะสิ” เกาจิ่นซิ่วร้องหึเบาๆ “คนเขาเป็นหลานสาวสายตรงของราชบัณฑิตฟู่ เห็นว่าสมัยเด็กๆ ถึงกับเคยได้เข้าเฝ้าเหวินไทเฮาด้วย เวลานี้ไทเฮาตำหนักบูรพาสิ้นอำนาจแล้ว แต่นางยังเชิดหน้าชูคอได้เหมือนเก่า ไปที่ใดก็คอยวางท่าจนผิดใจกับคนไปทั่ว มิหนำซ้ำยังพูดจาใหญ่โตอย่างหน้าไม่อายว่าตำแหน่งที่ว่างอยู่ของตำหนักในน่ะ ผู้ใดก็ประมาทกันไม่ได้ทั้งนั้น”
ตำแหน่งที่ว่างอยู่ของตำหนักใน…นางอยากขึ้นไปนั่งอย่างนั้นหรือ
“เจ้าสืบเรื่องนี้ได้ก็ดีแล้ว มีแต่คนรอดูสภาพนางตอนล้ม ได้ยินว่าวันนี้พอนางถูกจับไปขังในศาลราชวงศ์ ราชบัณฑิตฟู่ก็รีบเข้าวังหลวงทันที ไม่รู้ว่าจะพูดกับฮ่องเต้จนทำให้รูปการณ์เปลี่ยนหรือไม่”
“จะเปลี่ยนได้อย่างไรเล่า” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้ม “พยานยังอยู่ทั้งคน มีพยานมัดตัวแน่นหนา นางอยากบิดพลิ้วก็ทำไม่ได้หรอก”
“วิเศษ” เกาจิ่นซิ่วปรบมือก่อนจะพรูลมหายใจยาวเหยียดแล้วมองนาง “ตอนแรกที่ได้ยินว่าเจ้าจะแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดี ข้ายังอิจฉาเจ้าอยู่เลย ภายหลังกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้เจ้านึกเสียใจบ้างหรือไม่ที่จับพลัดจับผลูมาแต่งงานกับฮ่องเต้”
เสิ่นกุยเยี่ยนเอียงคอครุ่นคิดสักพักก็ตอบ “มีอะไรต้องเสียใจกันเล่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ไว้จบชาตินี้เมื่อไรข้าถึงมีสิทธิ์มองย้อนกลับมาว่านึกเสียใจหรือไม่”
“นั่นสินะ” อีกฝ่ายเล่าเบาๆ “ก่อนเข้ามาอยู่ในวังหลวง ข้าได้ยินว่ากู้ฮูหยินผู้นั้นตั้งใจจะหาภรรยาใหม่ให้คุณชายใหญ่สกุลกู้ แต่ดูเหมือนคุณชายใหญ่จะไม่ชอบใจนัก เอาแต่ปล่อยให้ตำแหน่งภรรยาเอกว่างมาจนป่านนี้”
เสิ่นกุยเยี่ยนอมยิ้ม เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า หัวใจนางไม่เกิดความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อยเมื่อได้ฟังข่าวนี้