“เฮ้อ เอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ เมื่อครู่ตอนมาหาเจ้ามีคนอิจฉาข้าไม่น้อยเชียวล่ะ หาว่าหากข้าเกาะเจ้าต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างแน่นอน” เกาจิ่นซิ่วบอกเบาๆ “ทีหลังเจ้าอย่าเรียกข้ามาพบอีกเลย ข้าจะได้ไม่มีปัญหา ไว้อีกสักสองปีค่อยให้ข้าออกจากวังหลวงไปแต่งงาน”
“อืม” เสิ่นกุยเยี่ยนรับคำแล้วดึงมืออีกฝ่ายมาจับไว้ “หากต้องการความช่วยเหลือก็ให้กุ้ยหลันมาบอกข้าแล้วกัน”
“ได้” เกาจิ่นซิ่วลุกขึ้นย่อกายคารวะเช่นที่กุ้ยเหรินควรทำ จากนั้นก็กลับออกไป
เป่าซั่นเดินเข้ามา เห็นเจ้านายระบายยิ้มบนใบหน้าก็รู้แล้วว่าอารมณ์คงปลอดโปร่งไม่น้อย จึงยิ้มระรื่นแล้วมาทวงรางวัล “พระชายา วันนี้หม่อมฉันหัวไวถึงเพียงนี้ ทรงมีรางวัลให้หรือไม่เจ้าคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนถามกระเซ้า “เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้วมิใช่หรือ ถ้าอย่างไรข้าจะทูลฝ่าบาทให้ยกเจ้าให้จุยอวิ๋นดีหรือไม่ หลังออกเรือนแล้วจะมาเป็นหมัวมัวรับใช้ข้าต่อก็ได้”
คนสนิทหน้าแดงก่ำ แสร้งทำเป็นโกรธขึ้ง “พระชายานี่เหลือเกินจริงๆ ทรงกลั่นแกล้งกระทั่งสาวใช้หัวไวทำงานดีอย่างหม่อมฉัน หากส่งหม่อมฉันออกเรือนไปจริง พระชายาก็จะไม่มีคนรู้พระทัยคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ดูซิว่าทีนี้จะไปร่ำไห้ที่ใด”
“เอาล่ะ ข้าไม่แหย่เจ้าแล้วก็ได้ ดูแลชิงจู๋เรียบร้อยหรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนเปลี่ยนมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง
เป่าซั่นตอบ “อยู่ในห้องหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันให้นางรอเฉยๆ ไม่ต้องออกมาทำงาน เรื่องมารดากับน้องชายที่นางบอก หม่อมฉันได้ไหว้วานจุยอวิ๋น…”
เพียงเอ่ยนามนั้นก็นึกถึงคำสัพยอกเมื่อครู่ของเจ้านายขึ้นมา เป่าซั่นหน้าแดงวาบ กระนั้นก็ยังทำหน้าขึงขังพูดต่อ “ไหว้วานคนให้ไปจัดการแล้ว”
เสิ่นกุยเยี่ยนนึกขำในใจ เจ้าเด็กคนนี้กำลังมีความรักแล้วยังทำเป็นไม่ยอมรับอีก
“ดี เช่นนั้นก็เหลือเพียงรอตอนค่ำ” นางอ้าปากหาว ชักง่วงขึ้นมาอีกแล้วจึงลูบครรภ์ตนเองพลางเดินไปนอนที่เตียง
เป็นสนมชายานี่ดีแท้ วันๆ มีแต่กินแล้วนอน นอนแล้วกิน อย่างกับหมูก็มิปาน
ครั้นพอย่ำค่ำ กู้เจาเป่ยก็กลับตำหนักพร้อมความเหนื่อยล้า มาถึงแล้วก็ล้มลงนอนตัวอ่อนปวกเปียกบนเตียง “พรุ่งนี้ข้าอยากพัก”
เสิ่นกุยเยี่ยนช่วยนวดไหล่ให้ “ทรงเหนื่อยมากเลยหรือเพคะ”
“แน่นอนสิ” เขาเล่าฉุนๆ “ราชบัณฑิตฟู่เข้าวังหลวงมาพูดจาไร้สาระให้ข้าฟังตั้งสองชั่วยาม คนแก่นี่นะ พูดเพียงสั้นๆ ว่า ‘กระหม่อมเป็นขุนนางที่มีคุณงามความดี และฟู่กุ้ยเหรินก็เป็นหลานสาวของขุนนางที่มีคุณงามความดี’ ก็จบแล้วไม่ใช่หรือ นี่กลับอ้างไปถึงอดีตฮ่องเต้ อ้างไปถึงไทเฮา”
ถึงอย่างไรก็เป็นหลานสาวสายตรง ราชบัณฑิตฟู่จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เสิ่นกุยเยี่ยนนิ่งคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้น “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ พยานอยู่กับหม่อมฉันแล้วเพคะ ฝ่าบาทจะทรงให้เข้าเฝ้าหรือไม่”
กู้เจาเป่ยชะงักแล้วหันมามอง “คนของกรมอาญาสืบได้ความแล้วหรือ”
“เปล่าเพคะ” นางตอบ “วันนี้คนของกรมอาญามาดู แต่กลับไปเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ หม่อมฉันเป็นคนหาพยานได้เอง ไม่ได้ส่งตัวไปให้กรมอาญาเพคะ”