ชิงจู๋เป็นพยาน หากมีอีกฝ่ายอยู่ย่อมสามารถเอาผิดฟู่กุ้ยเหรินได้ แต่นี่เด็กหญิงมาตายเสียแล้ว จึงไม่อาจลงโทษฟู่กุ้ยเหรินทั้งที่ไม่มีความผิด
แต่ก็น่าจะชัดเจนแล้วเช่นกันว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าชิงจู๋
เสิ่นกุยเยี่ยนหัวใจหนักอึ้งตลอดทาง มีคนตายอีกแล้ว เหตุใดชีวิตของคนรอบตัวนางถึงได้มีค่าน้อยราวกับเป็นเพียงหัวผักกาด บทจะตายก็ตายไปง่ายๆ
วันใดถึงคราวนางตายบ้าง ในยมโลกจะมีกลุ่มคนรอขว้างหัวผักกาดใส่นางหรือไม่
“อย่าคิดมาก” กู้เจาเป่ยบอกเบาๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าคอยบำรุงร่างกายให้ดีในตำหนักยงไหวก็พอ”
มือที่มองไม่เห็นในวังหลวงยื่นออกมาจากตรงมุมใดก็ไม่รู้ จะไม่เกี่ยวข้องกับนางได้อย่างไร เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลงใช้ความคิดซ้ำไปซ้ำมา พอถึงตำหนักยงไหวก็หยิบเครื่องเขียนออกมาวาดรูปเล่น
กู้เจาเป่ยเห็นรูปที่นางวาดคือชุดกระโปรงก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงหันไปสั่งให้จุยอวิ๋นตรวจสอบประวัติข้ารับใช้ทั้งหมดของตำหนักหย่งเหอ แล้วเปลี่ยนคนที่ไว้ใจไม่ได้ออกไปให้หมด
“อยู่ที่นี่ก่อนสักสองวันแล้วกัน” หลังสั่งการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็เดินเข้ามายืนข้างหลังนางพร้อมบอกเบาๆ “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มน้อยๆ หลังก้มหน้าลงก็ยังคงวาดรูปต่อเช่นเดิม
ชิงจู๋ตายไปได้สองวัน เมื่อไร้หลักฐานเอาผิด ฟู่กุ้ยเหรินจึงถูกปล่อยตัวกลับตำหนักโดยมีฮ่องเต้ไปรับด้วยตนเอง เสิ่นกุยเยี่ยนอยู่ในตำหนัก มีแต่เป่าซั่นที่ไปดู พอกลับมาถึงก็ยืนกระซิบกระซาบข้างกายนางอยู่ครึ่งชั่วยาม
“ฟู่กุ้ยเหรินผู้นั้นจองหองจนตาแทบจะลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้วเพคะ ไม่รู้จักสำเหนียกสถานะตนเองบ้างเลย ขนาดฝ่าบาททรงขออภัยยังกล้าสะบัดหน้าใส่ หม่อมฉันว่าดูท่าสมองนางคงมีปัญหา แต่ว่าไปพระมาตุลาเหวินก็มาด้วยนะเจ้าคะ เจ้าคนที่บังคับรถม้าแกล้งผู้อพยพนั่นล่ะ รูปร่างอ้วนฉุพ่วงพี ใครไม่รู้คงนึกว่าเป็นพวกคหบดีเจ้าของที่ดิน แต่ฮ่องเต้ทรงนอบน้อมกับเขายิ่งนัก
ฟู่กุ้ยเหรินกลับตำหนักเหอฮวนแล้วได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทด้วย สตรีใจคอเฉกเช่นอสรพิษเช่นนั้น ต่อไปพระชายาต้องทรงอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้นะเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งฟังพลางถือพู่กันลากเส้นสุดท้ายของภาพชุดกระโปรงที่ตนเองวาดไว้
“ฟู่กุ้ยเหรินมาจากตระกูลใหญ่ทรงอำนาจ อยากไต่เต้าขึ้นมาครองตำแหน่งสูงๆ ในตำหนักในไม่ใช่เรื่องยากสักนิด” เสิ่นกุยเยี่ยนเอ่ยเบาๆ “ข้าอยากรู้มากกว่าว่าเหตุใดนางถึงได้จ้องจะเล่นงานข้า หากทำร้ายข้าสำเร็จ นางจะได้ประโยชน์อันใด”
คนสนิทเม้มปาก “เวลานี้มีผู้ใดในตำหนักในไม่จับจ้องครรภ์ของพระชายาบ้างเล่าเพคะ เด็กในครรภ์คือเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาท ตราบใดที่ตำหนักอื่นยังไร้วี่แวว พระชายาก็ทรงยืนอยู่บนปากเหวนั่นล่ะเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า ข้อนี้นางก็รู้เช่นกัน นางหยิบภาพชุดกระโปรงที่วาดเสร็จแล้วลุกขึ้นเตรียมออกจากตำหนัก “ไปถวายพระพรเหนียนไทเฮากันดีกว่า ผ่านมาหลายวันน่าจะทรงดีขึ้นบ้างแล้ว”
“เพคะ” เป่าซั่นออกไปเตรียมเกี้ยว