เหนียนไทเฮาไม่เพียงดีขึ้น แต่ยังทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยต่างหาก ใช้หางตามองนางเดินเข้ามา จากนั้นก็จุปาก “เยี่ยนกุ้ยเฟยหนอเยี่ยนกุ้ยเฟย ท้องโตอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงได้กระฉับกระเฉงนัก”
เสิ่นกุยเยี่ยนคุ้นชินเสียแล้วกับคำพูดคำจาของอีกฝ่าย ได้แต่ย่อกายคารวะพลางเอ่ยยิ้มๆ “เพราะหม่อมฉันอยากให้กำเนิดองค์ชายน้อยที่แสนกระฉับกระเฉงเพคะ”
เหนียนไทเฮาร้องหึ แล้วชี้ที่ว่างบนตั่งนุ่มที่ตนนั่งอยู่ เสิ่นกุยเยี่ยนเดินเข้าไปนั่งอย่างเข้าใจ
“อย่าเพิ่งพูดเลยว่าจะให้กำเนิดองค์ชายหรือองค์หญิง ขอให้คลอดออกมาได้ก่อนค่อยว่ากัน ตำหนักเจ้าเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ไทเฮาพระเนตรพระกรรณฉับไวเหลือเกิน” นางตอบด้วยรอยยิ้ม “เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยจริงๆ เพคะ แต่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งแล้วว่าไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องต่อ”
คู่สนทนาพยักหน้า “ฮ่องเต้ใช้กลยุทธ์สร้างเขื่อนขวางน้ำเชี่ยว รู้ว่าควรยั้งมือเมื่อไร ข้าไม่ห่วงเขาเลย”
สะใภ้ที่ดูนุ่มนิ่มบอบบางผู้นี้สิที่น่าเป็นห่วงอยู่บ้าง เหนียนไทเฮาคิด ทว่ากระดากใจเกินกว่าจะเอ่ยวาจาหวานน่าขนลุกออกจากปาก
เสิ่นกุยเยี่ยนอมยิ้มพลางล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ “หม่อมฉันโง่เขลา ไม่รู้จักเจียมตัว ใคร่ทูลขอให้ไทเฮาทรงช่วยอะไรสักอย่างเพคะ”
เหนียนไทเฮาปรายตามอง กระดาษที่ลูกสะใภ้นำออกมาเป็นภาพวาดชุดกระโปรงชุดหนึ่ง ลักษณะคล้ายชุดกระโปรงหรูฉวินเพียงแต่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้ดูสวยงามตามความนิยมในช่วงเวลานี้
เห็นเพียงเท่านี้เหนียนไทเฮาก็เข้าใจเจตนาของเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างแจ่มแจ้ง นางรับกระดาษแผ่นนั้นมาพลางหัวเราะเบาๆ “มอบเสื้อผ้าให้ข้าหรือ คราวหน้าถึงอย่างไรก็ควรตัดเป็นชุดจริงออกมาก่อน อย่าให้ข้าเสียเวลารออีก”
นางตอบเบาๆ “ไทเฮาโปรดทรงอภัย เสื้อผ้าชุดนี้ต้องให้ไทเฮาทรงสั่งตัดเองเพคะ”
ในอดีตเหนียนไทเฮาเคยรักษาบุตรในครรภ์ไว้เช่นไร เสิ่นกุยเยี่ยนก็อยากทำเช่นนั้น แต่จะใช้วิธีเดิมซ้ำกันสองครั้งย่อมไม่ได้ จำต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนบ้าง
“เข้าใจแล้ว” เหนียนไทเฮาเลิกเปลือกตาเหลือบมองครรภ์เสิ่นกุยเยี่ยน “วางแผนป้องกันไว้ก่อนก็ดี”
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า นางตั้งตารอบุตรคนนี้มานาน ย่อมตั้งใจปกป้องให้สุดความสามารถ
สองวันให้หลังเหนียนไทเฮาจึงเริ่มแต่งชุดกระโปรงหรูฉวินแบบในอดีตอีกครั้ง จะต่างกันก็เพียงชุดกระโปรงรอบนี้งดงามกว่าเก่าทั้งสีสันและรูปแบบ เหล่าสนมชายาที่ไปถวายพระพรล้วนเอ่ยชมไม่ขาดปาก
“หวาเฟยชอบชุดที่ข้าใส่อยู่หรือไม่” เหนียนไทเฮามองหวาเฟย
ฝ่ายนั้นชะงักก่อนจะพยักหน้า “ไทเฮาทรงฉลองพระองค์ชุดนี้ได้งดงามยิ่งเพคะ”
“เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าชุดหนึ่ง บังเอิญทำเกินไว้สองชุด ชุดหนึ่งให้เจ้า ส่วนอีกชุดให้เยี่ยนกุ้ยเฟยก็แล้วกัน” เหนียนไทเฮายิ้มละไม “ข้าเห็นชุดนี้แล้วนึกถึงวันวานตอนได้รับความโปรดปรานอย่างท่วมท้นจากอดีตฮ่องเต้…”
สนมชายาในที่นั้นมีบางคนรู้ความเป็นมาเบื้องหลัง แต่บางคนก็ไม่รู้ ระหว่างทางขากลับจึงซักถามกัน เมื่อได้ทราบเรื่องราวในอดีตทุกคนต่างอิจฉาเหนียนไทเฮากันทั้งสิ้น ไม่รู้ใครเป็นคนพูดขึ้นมาว่าชุดกระโปรงเช่นนี้จะนำความโปรดปรานของฮ่องเต้มาให้ผู้สวมใส่ แต่ละคนจึงเริ่มหมายมั่นปั้นมือกันเงียบๆ
ทว่าหวาเฟยกลับมีสีหน้าเรียบเฉยขณะนำชุดไปส่งที่ตำหนักยงไหว
สองวันมานี้เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้ออกไปที่ใด ได้แต่จัดนั่นจัดนี่อยู่ในตำหนัก บัดนี้ครรภ์ของนางเริ่มใหญ่ถนัดตาจนแม้แต่เป่าซั่นยังอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ “หากไม่รู้ยังนึกว่าพระชายาทรงพระครรภ์แฝดนะเพคะ”
หวาเฟยเดินเข้ามาหลังให้คนมารายงานก่อน เสิ่นกุยเยี่ยนรีบไปนอนบนเตียง
“พระชายาทรงเดินเหินไม่สะดวก หม่อมฉันเลยนำฉลองพระองค์ที่ไทเฮาพระราชทานมาส่งให้เพคะ” ฝ่ายนั้นมองนางยิ้มๆ “อีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดที่คณะทูตจากต่างแคว้นเข้าราชสำนักมาถวายเครื่องราชบรรณาการ พระชายาจะได้ทรงชุดนี้เสด็จร่วมงานเลี้ยงได้พอดี”
เสิ่นกุยเยี่ยนแสร้งรับชุดมาดูด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “เหมาะจริง ตั้งแต่มีครรภ์มา สวมชุดกระโปรงแบบอื่นข้ารู้สึกอึดอัดไปหมด ชุดนี้กำลังดีเลย”
หวาเฟยยิ้มเนือยๆ “ไม่แน่ว่าไทเฮาอาจทรงทำชุดนี้เพื่อพระชายาโดยเฉพาะก็ได้ พระชายาทรงเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาโดยแท้”
ประโยคนี้ฟังดูแปร่งหูชอบกล เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างประหลาดใจ
ปรากฏว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะท้อนความรู้สึกใดทั้งสิ้น ราวกับว่าน้ำเสียงเมื่อครู่เป็นเพราะนางหูฝาดไปเอง
“ข้ารับชุดไว้แล้ว น้องหญิงหวาเฟยกลับไปได้แล้วล่ะ” นางเม้มปาก
“เพคะ” หวาเฟยลุกเดินออกจากตำหนัก แล้วไปยืนรอตรงลานในตำหนัก
เวลานี้ฮ่องเต้ควรกลับจากราชสำนักแล้ว หากนางรออยู่สักพักก็จะได้เจอกู้เจาเป่ยพอดี
“เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้เล่า” ดูเหมือนวันนี้กู้เจาเป่ยจะปลอดโปร่งใจ พอเห็นหวาเฟยก็ยกมือขึ้นโอบไหล่อย่างอารมณ์ดีเหมือนที่เคยทำเมื่อก่อน “มาหาเยี่ยนเอ๋อร์หรือ”
หวาเฟยผงกศีรษะด้วยผิวหน้าแดงเรื่อ “นำฉลองพระองค์มาส่งให้เยี่ยนกุ้ยเฟยเพคะ”
กู้เจาเป่ยยิ้มตาหยี “แสดงว่าเราจะมีอาหารตาให้ดูแล้วสิ”
“ฝ่าบาทยังทรงทะเล้นเหมือนเดิม” หวาเฟยจุปาก แล้วถามหลังจากนิ่งคิดเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าวันนี้ฝ่าบาททรงว่างหรือไม่”
“มีเหตุใดหรือ” เขาเลิกคิ้ว
“หม่อมฉันเตรียมบทเพลงไว้บรรเลงในงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากต่างแคว้น อยากเล่นถวายให้ฝ่าบาททรงลองฟังดูก่อนเพคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.