บทที่ 135 บิดจนกู่ไม่กลับ
อันที่จริงจุดมุ่งหมายในการมาเยือนราชสำนักของคณะทูตจากต่างแคว้นในครานี้แสนเรียบง่าย นั่นคือถวายราชบรรณาการ ประจบเอาใจ และเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดิน หากผู้ที่มาเป็นองค์ชายก็จะขมีขมันหาทางแต่งองค์หญิงสักคนกลับไป และสิ่งที่ราชสำนักจะทำก็เรียบง่ายเช่นกัน นั่นคือประกาศศักดา ประกาศศักดา และประกาศศักดา คิดทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างภาพอันยิ่งใหญ่ทรงอำนาจข่มขวัญคณะทูตจากต่างแคว้นให้จงได้
หวาเฟยรู้ว่าสิ่งใดควรทำ นางเคยอยู่ในหอเงาบุปผาเมามัวมาก่อน ย่อมสามารถเผยโฉมหน้าแสดงในงานเลี้ยงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงเตรียมบทเพลงไว้แสดงเพลงหนึ่ง ชวนกู้เจาเป่ยไปลองฟังได้พอดี
เนื่องจากเป็นคนที่เขาบ่มเพาะมาเอง กู้เจาเป่ยรู้ดีว่าฝีมือนางอยู่ในระดับใด จึงตอบรับทันที “เราจะไปตำหนักเจ้าพรุ่งนี้แล้วกัน”
หวาเฟยหน้าชื่น ย่อกายคารวะเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่วายเหลียวหลังมองเป็นระยะ
เสิ่นกุยเยี่ยนได้ยินเสียงฮ่องเต้ จึงอุ้มครรภ์ขนาดใหญ่ของตนตั้งใจจะอวดให้เขาดู ปรากฏว่าพออีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้องก็พูดขึ้นทันที “เมื่อครู่ข้าสัญญากับหวาเฟยไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะไปฟังเพลงที่ตำหนักนาง”
นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นปิดครรภ์ไว้ดังเดิมแล้วพยักหน้า “เพคะ”
กู้เจาเป่ยนั่งลงบนขอบเตียง ก่อนจะชะโงกเข้าไปมองดวงหน้าเนียนใกล้ๆ
เสิ่นกุยเยี่ยนมองตอบอย่างเยือกเย็น
ไม่โกรธ ไม่หึง ผิวน้ำในดวงตาคู่นั้นสงบราบเรียบไร้คลื่นลม
เขาหัวเราะเบาๆ “เจ้ายังไม่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลย ข้าหงุดหงิดเสียจริงๆ”
นางผงกศีรษะ “ฝ่าบาทก็ไม่ทรงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเช่นกัน ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนทั้งนั้น”
เอ่ยคำหวานบอกคำรักต่อกันไม่รู้เท่าไร แต่กู้เจาเป่ยก็ยังอ่อนโยนกับผู้อื่นได้เหมือนเดิม นางถอนหายใจเบาๆ บุรุษเช่นนี้นี่เองที่ทำร้ายหัวใจได้ฉกาจฉกรรจ์ที่สุด
กู้เจาเป่ยร้องหึแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง ไม่รู้ว่าโกรธผู้ใดอยู่ เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กุมครรภ์ของตนเองอย่างเหม่อลอย ทั้งคู่ค้างอยู่ในท่านั้นได้สักพักเขาก็ลุกเดินออกไป
นางหลุบตาลงพลางหัวเราะเบาๆ ทำอะไรสักอย่างก็ผิด ไม่ทำอะไรเลยก็ผิด แล้วข้ายังจะทำอย่างไรได้ ทำไม่ได้ทั้งนั้น
“พระชายาเพคะ” เป่าซั่นขมวดคิ้วเดินเข้ามาใกล้ “วันนี้ผิดกับวันวาน เขาเป็นฮ่องเต้แล้วนะเพคะ อย่าได้พระทัยแข็งเช่นแต่ก่อนอีกเลย ต้องโอนอ่อนผ่อนตามเขาให้มากๆ”
“ข้ายังโอนอ่อนผ่อนตามเขาไม่พออีกหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนมองคนสนิทอย่างกังขา “เขาอยากเอ็นดูผู้ใดข้าก็ไม่เคยขวาง แล้วยังจะเอาอย่างไรอีก”
เป่าซั่นถอนหายใจเฮือก “พระชายาไม่เข้าพระทัย บุรุษน่ะ บางทีก็ชอบเห็นสตรีของตนเองหึงหวง เพราะทรงนิ่งเกินไปฝ่าบาทเลยทรงไม่สบอารมณ์น่ะสิเพคะ”
“ข้าต้องหึง เขาถึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนแค่นยิ้ม “สาเหตุน่าจะมาจากความอยากรู้อยากเห็นของบุรุษมากกว่ากระมัง เพราะไม่เคยเห็นด้านคลุ้มคลั่งของสตรีมาก่อน เลยพยายามลากออกมาดูให้ได้ ข้ากลัวว่าหากวันใดวันหนึ่งเขาได้เห็นเข้าจะไม่ชอบข้าอีกต่อไปมากกว่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ” เป่าซั่นยู่ปาก “พระชายาทรงดีพร้อมเช่นนี้ มีหรือฝ่าบาทจะไม่ทรงชอบ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” นางหลับตาลง “สตรีที่รักใครสักคนน่ะเป็นบ้าไปครึ่งทางแล้ว บางคนปกปิดเก่ง จะคลุ้มคลั่งลับหลังผู้อื่นเท่านั้น ส่วนใครปกปิดไม่เก่งอาละวาดให้คนเห็น กว่าครึ่งมีแต่จะทำให้ชายคนรักหนีเตลิดไปด้วยความตกใจ”
เป่าซั่นฟังไม่เข้าใจจริงๆ ก็เมื่อครู่นางเห็นอยู่เต็มสองตาว่าฮ่องเต้อยากเห็นท่าทางขัดขึ้งของเจ้านายนาง พอไม่ได้เห็นเลยหงุดหงิด
พระชายาฉลาดหลักแหลมออกอย่างนี้ เหตุใดถึงไม่รู้กันนะ