กู้เจาเป่ยผลุนผลันออกจากตำหนักด้วยความโมโห พอเดินมาถึงถนนในวังหลวงถึงเพิ่งนึกได้ ตำหนักยงไหวเป็นตำหนักของเขา เรื่องอะไรเขาต้องเป็นฝ่ายออกมาด้วย
เขายกเท้าถีบสิงโตหินข้างทาง ปากก็งึมงำ “เพคะบ้าอะไร ไม่เปลี่ยนบ้าอะไร! ต่อให้ทำหน้าหงอยเพียงเล็กน้อย ข้าก็จะรีบบอกทันทีว่าไม่ไปแล้วแท้ๆ พูดแค่คำเดียวมันจะตายหรือไร!”
“ฝ่าบาท?” เจียงกุ้ยเหรินซึ่งบัดนี้เลื่อนขึ้นเป็นเจียงผินเดินผ่านมาพอดี เห็นได้แต่ไกลว่าฮ่องเต้กำลังยกเท้าถีบสิงโตหินซ้ำๆ คล้ายกล้ามเนื้อกระตุกก็อดจะร้องเรียกไม่ได้
กู้เจาเป่ยตัวแข็งทื่อ พอหันมาอีกทีใบหน้าก็ระบายยิ้มน้อยๆ เหมือนปกติ เขาสะบัดชายเสื้อคลุมด้วยท่าทางเสน่ห์เปี่ยมล้น ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
เจียงผินเดินเข้ามาหาด้วยความฉงน “หม่อมฉันกำลังจะไปถวายพระพรเยี่ยนกุ้ยเฟยที่ตำหนักยงไหวเพคะ”
“เช่นนั้นหรือ พอดีเลย” กู้เจาเป่ยกระแอมเบาๆ “ไม่ต้องไปแล้ว เราจะไปนั่งที่ตำหนักเจ้า”
เจียงผินดีใจเหลือล้น ไม่นึกว่าเพียงออกมาเดินเรื่อยเปื่อยจะสามารถเก็บฮ่องเต้กลับตำหนักไปได้ เช่นนี้ทีหลังออกมาเดินทุกวันดีกว่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฮ่องเต้มีเพียงจุยอวิ๋นติดตาม ส่วนด้านหลังเจียงผินก็มีนางกำนัลเพียงคนเดียว ทั้งคู่เดินนำอยู่ข้างหน้า ห่างจากข้ารับใช้ค่อนข้างไกล
กู้เจาเป่ยเดินไปได้สักพักก็อดหันมาถามเจียงผินไม่ได้ “เจ้าอยู่กับเรามานาน หากวันใดวันหนึ่งเราเลิกโปรดปรานเจ้า หันไปโปรดปรานผู้อื่นแทน เจ้าจะรู้สึกเช่นไร”
เจียงผินชะงักก่อนจะแค่นยิ้ม ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ยังจะ ‘หาก’ อีกเพื่ออันใดกัน แต่ในเมื่อฮ่องเต้ถาม นางย่อมตอบไปตามตรง “หม่อมฉันจะเสียใจเพคะ แต่ก็เรียกร้องอะไรไม่ได้”
เขาขมวดคิ้ว “ไหนทำท่าเสียใจให้เราดูสักหน่อยซิ”
เจียงผิน “…”
นางเงยหน้ามองฮ่องเต้ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความตรอมตรม กู้เจาเป่ยเห็นแล้วขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางแล้วงึมงำ “ต้องเช่นนี้สิ”
แววตาของเสิ่นกุยเยี่ยนไม่ใช่แววตาเจ็บช้ำเสียใจเลยสักนิด!
เจียงผินเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้ว่าคงระหองระแหงอะไรกับเยี่ยนกุ้ยเฟยมาอีกแล้ว แต่นางไม่คิดจะถาม ด้วยกลัวว่าหากใช้วาจาผิดพลาดไปฮ่องเต้จะหมุนตัวเดินกลับตำหนักยงไหวทันที
สตรีตำหนักในคนใดบ้างไม่อยากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
เสิ่นกุยเยี่ยนอยู่ในตำหนักยงไหวอย่างไม่ทุกข์ร้อน เพียงอยู่หารือเรื่องการจัดเตรียมงานเลี้ยงทางการกับเหนียนไทเฮาเวลาไปถวายพระพรเท่านั้น ตกเย็นก็กลับตำหนักมากินอาหารคนเดียว…เข้านอนคนเดียว
กู้เจาเป่ยไม่ได้กลับมาเลย ทำตัวเหมือนสมัยก่อนเวลาแง่งอนนางไม่มีผิด ไม่ยอมลดราวาศอกให้สักนิด วันนี้ไปตำหนักเหอฮวน พรุ่งนี้ไปตำหนักเฟยเยี่ยน
เขามีหน้าที่ของเจ้าแผ่นดินที่ต้องรับผิดชอบ มีเรื่องที่ควรทำ เสิ่นกุยเยี่ยนไม่เคยวาดหวังอยู่แล้วว่าเขาจะมาหานางเพียงคนเดียว
กระนั้นนางก็ยังไม่วายเจ็บปวดเล็กน้อย
หวาเฟยมีสีหน้าอิ่มเอิบเมื่อมาถวายพระพร เอาแต่ยิ้มแย้มเล่าว่าตอนอยู่ในตำหนักหวาชิง ฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง สีเฟยเองก็มาเล่าคำสองคำเพราะฮ่องเต้ไปหานางเช่นกัน
แม้แต่ฟู่กุ้ยเหรินก็ยังหน้าเชิดกว่าเก่าไม่น้อย ทำเป็นกวาดตามองรอบตำหนักยงไหวแล้วเอ่ยเบาๆ “แต่เดิมมาถวายพระพรยังตั้งความหวังว่าอาจได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ยามนี้เห็นทีคงไม่ได้เจอที่นี่เสียแล้ว”
เป่าซั่นนึกฉุนขึ้นมา ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนกลับกล่าวยิ้มๆ “ฝ่าบาททรงเมตตาทุกตำหนักอย่างทั่วถึงก็ดีแล้ว”