บทที่ 165 ไม่เต็มใจล่ะสิ
กู้เจาตงออกจากวังหลวงด้วยใบหน้าซีดเผือด ไม่ทันได้มองเสิ่นกุยเยี่ยนให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่จวนสกุลอวี่เหวิน
ระยะนี้อวี่เหวินโฮ่วเต๋อระหองระแหงกับหานเจียงเสวี่ยอีกแล้ว คงเพราะเหตุการณ์ผ่านมานานเขาจึงไม่รีบร้อนวิงวอนภรรยาเหมือนตอนแรกอีก ขนาดพากู้เจาตงออกไปดื่มสุรา อวี่เหวินโฮ่วเต๋อยังไม่บอกกล่าวฮูหยินของตน
กู้เจาตงเลือกสุราร้อนแรงมามอมอีกฝ่าย เรื่องใดสรรเสริญเยินยอได้ก็สรรเสริญเยินยอหมด เขารอจนอวี่เหวินโฮ่วเต๋อเมากรึ่มได้ที่ จึงค่อยถามเรื่องของเสิ่นกุยหย่า
“หากไม่เพราะนาง เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ทำกับข้าอย่างที่ทำอยู่หรอก” อีกฝ่ายระบายความอัดอั้น “พลาดพลั้งครั้งเดียวเสียใจจนวันตาย…ขออภัย ข้าไม่ควรพูดเรื่องแสลงใจใต้เท้าเลย”
กู้เจาตงหน้าเขียวแล้วเขียวอีก แต่ก็สะกดโทสะตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ข้าไม่แสลงใจหรอก ขอเพียงท่านบอกความจริงมา ข้าก็จะไม่เอาเรื่องเอาราวท่าน”
สุราช่วยเสริมความกล้าให้คนขลาด อวี่เหวินโฮ่วเต๋อเล่าโดยไม่สนใจว่าคนตรงหน้าตำแหน่งราชการสูงกว่าตนมากนัก “ความจริงหรือ ความจริงก็คือหญิงผู้นั้นเปิดฝาโลงหนีไปน่ะสิ ทั้งตอนนี้ยังได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โต ช่างเก่งกาจเสียจริงๆ แต่ว่านะใต้เท้า เวลานี้นางเป็นถึงธิดาเทพ ท่านจะเอาภรรยากลับคืนมาน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก”
“เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้” กู้เจาตงถาม
คู่สนทนาแค่นเสียงหึๆ ขึ้นจมูก “นางถูกฮ่องเต้เชิดชูเป็นเทพไปแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังมีคนหนุนหลัง ท่านวิ่งไปร้องบอกว่านางเป็นภรรยาท่าน ผู้อื่นมีแต่จะคิดว่าท่านเสียสติเท่านั้น ฮ่องเต้เองก็ทรงไม่มีทางยอมรับหรอก”
กล่าวได้ไม่ผิดเลย เช่นนั้นแล้วเหตุใดเยี่ยนเอ๋อร์ถึงยังเรียกหาเขาอีกเล่า
กู้เจาตงเหม่อมองรัตติกาลด้านนอก แล้วจมจ่อมอยู่ในความคิดอีกครั้ง
ฝ่ายกู้เจาเป่ยยุ่งอยู่กับงานในห้องทรงพระอักษรจนไม่มีแม้แต่เวลานอน เขาออกคำสั่งเรียกกองกำลังรักษาการณ์มณฑลข้างเคียงมาแล้ว ส่วนกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงและกองทหารรักษาพระองค์อยู่ภายใต้การควบคุมของสื่อฝาหลง ย่อมต้องถวายอารักขาราชวงศ์ด้วยเช่นกัน
ทว่าตอนนี้เขายังบอกไม่ได้ว่าพระอัยกาเหวินหวนกลับมาด้วยเรื่องใด หากคิดจะตีเมืองหลวง การป้องกันเพียงเท่านี้ของเขาไม่มีทางพอแน่ แต่หากอีกฝ่ายบอกว่าเพียงแค่ยกทัพกลับราชสำนัก แต่ให้ไพร่พลปลอมตัวเพื่อไม่ให้ราษฎรปริวิตก เขาที่จัดเตรียมกำลังพลรอไว้ก็ดูใจคอคับแคบไปถนัดตา
ที่น่าเป็นกังวลก็คืออำนาจของสกุลเหวินในราชสำนักยังไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนจนสิ้นซาก ตำหนักในยังมีหลานสาวของราชบัณฑิตฟู่ มีเวลาเพียงเล็กน้อย เขาจัดการปัญหามากมายเพียงนี้ไม่ไหว
ศีรษะปวดเหมือนจะร้าว ความเสเพลรักสนุกหายไปจากใบหน้า ฮ่องเต้ในยามนี้เหมือนสิงโตที่กำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน ทำเอาเหล่าคนสนิทที่อยู่ตรงหน้าตัวสั่นงันงกไปตามๆ กัน
“ฝ่าบาท เสวยพระกระยาหารก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จุยอวิ๋นเดินเข้ามาบอกเบาๆ “ทรงไม่ได้เสวยพระกระยาหารกลางวัน ถึงอย่างไรก็ต้องเสวยพระกระยาหารเย็นสักหน่อย”
“ผู้ใดจะยังมีอารมณ์กิน” แม้แต่จุยอวิ๋นก็ยังถูกตวาดใส่ “ไว้เราทำงานเสร็จเมื่อไรค่อยยกเข้ามา!”
จุยอวิ๋นกระแอมเบาๆ แล้วกลั้นใจตอบกลับไป “พระกระยาหารถาดนี้ทางตำหนักหย่งเหอส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยผงะ
เหล่าคนสนิทที่อยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้นมองอย่างระมัดระวัง ก่อนพบว่ากลิ่นอายดุดันรอบตัวนายเหนือหัวเหมือนถูกเก็บกลับไปในชั่วพริบตา ฮ่องเต้หยิบช้อนขึ้นมาถือไว้ นิ่งเงียบอยู่สักพักก็กินโจ๊กในชามจนหมดโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
ตอนที่วางชามกลับลงบนถาดถึงเพิ่งเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกทับไว้ข้างใต้
กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วพลางหยิบกระดาษมาคลี่อ่าน
‘ฝ่าบาททรงอยู่ทัพหน้า หม่อมฉันหนาอยู่ทัพหลัง เสวยเติมกำลัง อย่าได้ทรงห่วงกังวล’