เมื่อได้เห็นสีหน้าของฮ่องเต้นุ่มนวลขึ้น จุยอวิ๋นถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วให้สัญญาณพวกข้างล่างก้าวออกมาพูดต่อ
เยี่ยเวิ่นเต้าและคนสนิทคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนฉงนสงสัยว่ากระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอย่างไร ถึงสามารถกำราบสิงโตตัวหนึ่งให้เชื่องลงได้ทันตา ทว่าฮ่องเต้ชิงเก็บกระดาษใส่แขนเสื้อเสียก่อน แล้วมองพวกเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น “จัดสรรกำลังพลในเมืองหลวงอย่างไรบ้าง”
ข้าอยู่ทัพหน้า นางอยู่ทัพหลัง เยี่ยนเอ๋อร์หมายความว่าจะช่วยข้าจัดการเรื่องที่เหลือใช่หรือไม่ แม้เขาคิดว่าวัดจากนิสัยนาง งานนี้คงเหนื่อยแรงอยู่สักหน่อย แต่ข้อความในกระดาษก็ยังทำให้เขาอารมณ์ดีอยู่นั่นเอง
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตัวคนเดียว
เสิ่นกุยเยี่ยนนิ่งสงบมาโดยตลอด เป็นสตรีฝ่ายในมานานปานนี้ยังไม่เคยโจมตีใครก่อน กู้เจาเป่ยจึงพลอยเห็นนางเป็น ‘ลูกแมวน้อย’ ไปโดยปริยาย
ปรากฏว่าสิ่งที่ลูกแมวน้อยนำมาวางบนโต๊ะทรงพระอักษรของเขาในวังรุ่งขึ้นคือหนังสือร้องเรียนของคนพันคน
“พระมาตุลาเหวินเป็นคนดีที่ทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่กลับต้องมาตายอย่างไม่ควรตาย เหล่าบัณฑิตในเมืองหลวงจึงร่วมกันลงนามเพื่อคืนความเป็นธรรมให้เขาเพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนเอ่ยชัดเจนฉะฉานขณะมองสามี
ราชบัณฑิตฟู่ อัครเสนาบดีกู้ และขุนนางสำคัญคนอื่นก็อยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วย พอได้ยินดังนั้นก็มีอาการตอบสนองไม่ต่างจากฮ่องเต้
เยี่ยนกุ้ยเฟยเสียสติไปแล้วกระมัง
พระมาตุลาเหวินเป็นคนประเภทใด ควบรถม้าใส่ผู้อพยพเพื่อความรื่นเริง รีดนาทาเร้นราษฎร ฉุดคร่าชำเราหญิงชาวบ้าน มีสิ่งใดบ้างไม่เคยทำ ท้องถนนอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นของราษฎร ติดที่มีสกุลเหวินคอยปกป้อง คนในราชสำนักจึงไม่กล้าทำอะไร ตอนที่พระมาตุลาเหวินต้องทัณฑ์สวรรค์ยังมีคนปรบมือยินดีตั้งมากมาย
แต่บัดนี้เยี่ยนกุ้ยเฟยกลับบอกว่าราษฎรอยาก ‘คืนความเป็นธรรม’ ให้พระมาตุลาเหวิน?
กู้เจาเป่ยมองม้วนกระดาษหนาๆ สองม้วนในมือแล้วถามเสียงเครียด “พระมาตุลาเหวินตายเพราะต้องทัณฑ์สวรรค์ จะคืนความเป็นธรรมให้อย่างไร ชายารักอย่าได้กล่าวเหลวไหล”
“นี่หาใช่ความต้องการของหม่อมฉัน แต่เป็น ‘เจตนาของราษฎร’ เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ตอบอย่างจริงจัง “ไม่รู้ว่าข่าวลือในหมู่ราษฎรเริ่มมาจากที่ใด หาว่าธิดาเทพเป็นพวกหลอกลวง หลอกเอาความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท เข่นฆ่าคนดีทั้งที่ไม่ควร พวกเขาวอนขอให้ฝ่าบาททรงประจักษ์โฉมหน้าที่แท้จริงของธิดาเทพในเร็ววันเพคะ”
ราชบัณฑิตฟู่ขมวดคิ้ว “พวกราษฎรโง่เขลาหรือจะเข้าใจอาณัติสวรรค์…”
“ท่านราชบัณฑิตฟู่ก็เห็นว่าพระมาตุลาเหวินสมควรต้องทัณฑ์สวรรค์เช่นกันหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนถาม
ทุกคนผงะแล้วพากันเงยหน้ามองขุนนางสูงวัย ราชบัณฑิตฟู่แทบกัดลิ้นตนเอง รีบโบกมือปฏิเสธแทบไม่ทัน “กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น ปกติแล้วพระมาตุลาเหวินก็ดีกับผู้อื่นมากจริงๆ…”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านเห็นด้วยกับความคิดของราษฎรว่าทัณฑ์สวรรค์ไม่เที่ยงธรรม และมีโอกาสสูงอย่างยิ่งที่ธิดาเทพเป็นพวกลวงโลก?” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มละไม “ท่านราชบัณฑิตฟู่หลักแหลมยิ่งแล้ว”
จะซ้ายหรือขวาก็ผิด ราชบัณฑิตฟู่เครียดจนหน้าเขียวคล้ำ พูดก็ไม่ได้ เงียบก็ไม่ได้อีก เมื่อครู่เขาไม่น่าเอ่ยประโยคนั้นออกมาเลย!
ในที่สุดกู้เจาเป่ยก็เข้าใจเจตนาของเสิ่นกุยเยี่ยนเสียที เขาอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ภายนอกแสร้งทำหน้าเคร่งเครียด “ในเมื่อราษฎรลงนามถึงหนึ่งพันคนก็ควรตรวจสอบเรื่องนี้สักหน่อย ให้ท่านราชบัณฑิตฟู่จัดการก็แล้วกัน”
“ฝ่าบาท ช่วงนี้กระหม่อมไม่ว่างเลยพ่ะย่ะค่ะ” ราชบัณฑิตฟู่รีบส่ายหน้า “กระหม่อมยังต้องบูรณะคลังอักษร…”
“ไม่เป็นไร เรื่องนั้นให้ผู้อื่นทำแทนได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงพระมาตุลาเหวิน ต้องให้ผู้อาวุโสอย่างท่านออกหน้าเองเท่านั้นถึงจะเหมาะสม” กู้เจาเป่ยพูดอย่างจริงจัง “เราให้เวลาสามวัน ท่านต้องสืบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง ส่วนธิดาเทพให้กักบริเวณไว้ในอารามทงเทียนก่อนก็แล้วกัน”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เสิ่นกุยเยี่ยนค้อมศีรษะคำนับ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสองสามีภรรยาสบตากันอยู่ห่างๆ ต่างฝ่ายต่างรู้กันโดยที่เขามิได้เอ่ยวาจา นางเองก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก
ไม่ว่าจะทางใดราชบัณฑิตฟู่ก็ลำบากใจทั้งสิ้น จะตรวจสอบธิดาเทพหรือ เวลานี้นางเป็นผู้ช่วยของพวกเขา แต่ครั้นจะบอกว่าพระมาตุลาเหวินสมควรตายถูกต้องแล้ว พระอัยกาเหวินจะได้เด็ดศีรษะเขาเป็นอันดับแรกที่กลับถึงเมืองหลวงปะไร
เหตุใดถึงต้องโยนปัญหายากเพียงนี้มาให้เขาด้วย