เสิ่นหานลู่ตระหนักได้ทันทีที่ถูกกักบริเวณว่าฮ่องเต้คิดจะจัดการตน นางรีบสั่งให้ซิ่วผิงเขียนใบปลิวหนึ่งพันใบโดยไม่รอช้า แล้วออกไปโปรยทั่วเมืองหลวงในตอนกลางคืน
ข้อความบนใบปลิวมีดังนี้
‘ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์โดยไม่ชอบธรรม ฝ่าฝืนดำรัสสวรรค์ ปองร้ายธิดาเทพ ใต้หล้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ราษฎรประสบภัยพิบัติ แผ่นดินแห้งแล้ง แม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้นสักต้น’
หากบอกว่าเป็น ‘ดำรัสสวรรค์’ สู้บอกว่าเป็น ‘คำสาปแช่ง’ ยังตรงเสียกว่า คนทั่วไปกลัวคำสาปแช่งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มักเลือกเชื่อมากกว่าเลือกคิดว่าไม่มีจริง ตัวอย่างเช่นจดหมายลูกโซ่เขียนคำสาปแช่งในยุคปัจจุบัน หากไม่ส่งต่อจะต้องตายตกทั้งครอบครัว รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากส่งต่อ
ราษฎรในเวลานี้ก็มีความเชื่อเรื่องพวกนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นผ่านไปยังไม่ทันข้ามคืนข่าวก็สะพัดไปทั่ว ชาวบ้านร้านตลาดพากันมาล้อมปิดวังหลวงเอาไว้ บ้างถึงขั้นขู่ว่าจะก่อจลาจลด้วยซ้ำ
เสิ่นหานลู่แค่นหัวเราะอยู่ในอารามทงเทียน รอฮ่องเต้มารับตนออกไปปลอบประโลมความเดือดดาลของราษฎรให้สงบลง
ทว่าคนที่มาหานางไม่ใช่กู้เจาเป่ย กลับเป็นเสิ่นกุยเยี่ยน
“น้องห้า กลับบ้านได้แล้วล่ะ” นั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาขณะมองหน้านาง
เสิ่นหานลู่ตะลึงพรึงเพริดเสียไม่มีดี นางเปลี่ยนชื่อ ใช้ชีวิตเป็นตัวของตนเองมานานจนลืมไปแล้วว่าในยุคนี้ตนมีนามว่า ‘เสิ่นกุยหย่า’ เป็นน้องห้าของเสิ่นกุยเยี่ยน
คำเรียกขานดังกล่าวทำให้ความหลังแต่ก่อนเก่าโถมถั่งมาบีบคอนางไว้แน่นจนนางหายใจไม่ออก
“สะใภ้ใหญ่ เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” เป่าซั่นแค่นหัวเราะ แล้วสั่งให้องครักษ์คุมตัวซิ่วผิงที่อยู่อีกทางเอาไว้ แล้วถอดเสื้อคลุมของเสิ่นกุยหย่าออก และสวมชุดสำหรับศพให้แทน
“เจ้าคิดจะทำอะไร” เสิ่นกุยหย่าเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก มองเสิ่นกุยเยี่ยนที่ยืนอุ้มท้องอยู่ตรงหน้า “ข้าอุตส่าห์ไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว เหตุใดยังต้องตามมาเล่นงานข้าอีก”
เสิ่นกุยเยี่ยนโบกมือทีหนึ่ง เพียงเท่านั้นนางก็ถูกอุดปากไว้
“เหตุใดน่ะหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนมองอีกฝ่าย “เพราะเจ้าคิดจะเล่นงานแผ่นดินของสามีข้าน่ะสิ”
เสิ่นกุยหย่าพูดไม่ได้แล้ว ทว่านัยน์ตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น นางสตรีไม่ได้ตายดีผู้นี้กล้ามาจับนางทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ตอนนี้นางเป็นถึงธิดาเทพของราชสำนัก มีพระอัยกาเหวินหนุนหลังเชียวนะ!
ราชบัณฑิตฟู่เดินตามเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าลังเล กระนั้นก็ยังประกาศพระราชโองการในมือ “เสิ่นซื่อนามกุยหย่าแกล้งตายตบตาสกุลกู้เพื่อหนีโทษจับใส่ตะกร้อขังหมูถ่วงน้ำ ต่อมายังหลอกลวงเหวินไทเฮา ปิดบังเบื้องสูงเข้าไปอยู่ในวังหลวง เวลานี้ยังอ้างตนเป็นเทพเซียนเข่นฆ่าขุนนางดีในราชสำนัก ใช้ทัณฑ์สวรรค์บังหน้า สังหารพระมาตุลาเหวินและเหล่าขุนนางผู้มีคุณธรรม จนเราสูญเสียกำลังสำคัญประดุจแขนซ้ายขวา บัดนี้ราษฎรนับพันพากันลงนามขอให้กำจัดปีศาจร้าย ให้เสิ่นซื่อนามกุยหย่ากลับคืนสู่หลุมฝังศพตนเสีย เราเองก็ยอมรับผิดที่มองคนไม่ขาด ยินดีถือศีลกินเจหนึ่งเดือนเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณเหล่าขุนนางดีบนสวรรค์”
นัยน์ตาของเสิ่นกุยหย่าหดเกร็ง มองพระราชโองการฉบับนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ข้าปิดบังเบื้องสูง? ข้าตบตาหลอกลวง? จริงอยู่ว่าตอนแรกเริ่มนางมีความคิดนี้ แต่ภายหลังฮ่องเต้เป็นฝ่ายใช้ประโยชน์จากนางต่างหาก!
แต่บัดนี้เขากลับ…แว้งกัดนาง!
ร้ายนักนะกู้เจาเป่ย น่ากลัวว่าเขาคงคิดเตรียมไว้ตั้งแต่แต่งตั้งนางเป็นธิดาเทพแล้ว เขาอยากฆ่าใครและพอจะฆ่าใครได้ก็ฆ่าทิ้งจนหมด จากนั้นก็โยนความผิดทุกอย่างให้นาง ตัวเขาเองเพียงบอกว่าหลงเชื่อคำโกหกของนางก็ลอยตัวพ้นผิดได้โดยสมบูรณ์!
เหตุใดข้าถึงยอมเชื่อเขาได้นะ!
เนื่องจากถูกอุดปากไว้ ส่งเสียงไม่ได้ เสิ่นกุยหย่าจึงได้แต่ถลึงตาจนเห็นเส้นเลือดแดงก่ำ มองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างเจ็บแค้น
ราชบัณฑิตฟู่ก็แค่ไปตามน้ำ จากนี้ไม่มีธิดาเทพก็ไม่มีไปเถิด ดีกว่าเขาไปฝากแค้นให้พระอัยกาเหวินแล้วกัน
“ไม่เต็มใจหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถามเบาๆ
“อื๊อๆ!” เสิ่นกุยหย่าไม่อาจส่งเสียงพูด อยากจะเอาศีรษะกระแทกท้องอีกฝ่ายก็ถูกเป่าซั่นสั่งให้คนจับมัดไว้กับเสาเสียก่อน