บทที่ 166 นี่คือสิ่งสุดท้ายที่หม่อมฉันสามารถทำถวาย
“ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า ข้ามีเรื่องอยากพูดกับนาง ท่านราชบัณฑิตฟู่ช่วยให้ความสะดวกได้หรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนถาม
ราชบัณฑิตฟู่พยักหน้ารับแล้วนำคนทั้งหมดออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงเป่าซั่นคนเดียว
เสิ่นกุยหย่าที่ถูกมัดติดกับเสาพยายามดิ้นอย่างไรก็ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ตอนแรกนางยังจ้องเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างเคียดแค้น แต่พอเห็นประตูห้องปิดลงจากข้างนอก ความหวาดกลัวก็ฉายขึ้นในดวงตาแทน
“กลัวหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนที่นั่งห่างออกไปตรงหน้าไม่ไกลหัวเราะเบาๆ “น้องห้ายังจำเรื่องตอนเด็กได้มากน้อยเพียงใด ตอนที่จับฉินอี๋เหนียงโยนลงสระบัวกลางดึก น้องห้าได้กลัวบ้างหรือไม่”
เสิ่นกุยหย่าส่ายหน้ายิก ข้าไม่ได้ทำนะ คนลงมือคือเจ้าของร่างเดิมต่างหาก ข้าไม่ได้อยากทำเสียหน่อย
“ไม่กลัวหรือ นั่นสินะ” เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “กระทั่งวางยาพิษฆ่าฉินอี๋เหนียงเจ้ายังกล้าเลยมิใช่หรือ นับประสาอะไรกับจับคนโยนลงสระบัว”
ไม่ เสิ่นกุยหย่ายังคงส่ายหน้า อยากบอกเหลือเกินว่าคนที่วางยาพิษฆ่าฉินอี๋เหนียงไม่ใช่ตน ตนเพียงเสนอความเห็น พูดออกไปเพียงคำเดียว ใครจะไปรู้ว่าเสิ่นฮูหยินจะทำจริง
ทว่าปากถูกอุดไว้อยู่ นางพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“เจ้ามักคิดว่าตนเองไม่ผิด มีแต่ผู้อื่นที่ผิด” เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ดังนั้นเจ้าย่อมต้องไม่รู้แน่ว่าเหตุใดตนเองถึงได้มีจุดจบเช่นวันนี้”
ความจริงหากเสิ่นกุยหย่าตั้งใจเล่นละครตามกู้เจาเป่ยให้ดีจุดจบก็คงไม่เลวร้ายถึงขั้นนี้ แต่นี่นางเปลี่ยนฝ่ายกลางคัน มิหนำซ้ำยังทุ่มหมดหน้าตัก หมายจะใช้เสียงจากราษฎรคุกคามฮ่องเต้
ไม่มีฮ่องเต้คนใดยอมปล่อยให้ผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจการปกครองของตนมีชีวิตอยู่ต่อ เสิ่นกุยหย่าผิดที่โง่เขลาเกินไป ไม่เท่าทันจิตใจมนุษย์ สูญเสียจุดยืนเพื่อผลประโยชน์เพียงชั่วครั้งคราว
ที่จริงช่วงแรกเสิ่นกุยเยี่ยนยังนึกเลื่อมใสน้องสาวผู้นี้อย่างล้นเหลือ ไม่ว่าจะด้วยโชคชะตาหรืออะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังกล้าแกล้งตายหลังคบชู้ แล้วเข้าไปอยู่ในหอเงาบุปผาเมามัว กลายเป็นชายารองของรัชทายาท ค่อยๆ ไต่เต้าทีละก้าวจนได้เป็นชายาของฮ่องเต้
หากกู้เจาเป่ยโง่เขลาสักนิด ทนความเย้ายวนไม่ได้สักหน่อย ป่านนี้เสิ่นกุยหย่าคงประสบความสำเร็จไปแล้ว แม้แต่จะขึ้นไปนั่งบัลลังก์ฮองเฮาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ดีที่สามีของนางเก่งกาจเลิศล้ำ
ความเดือดดาลยังลุกโชนอยู่ในดวงตาเสิ่นกุยหย่าอย่างยากจะลบเลือน หัวใจไร้ความสงบเยือกเย็น นางเยือกเย็นไม่ไหวจริงๆ มีแต่คนพูดกันว่าอยากได้ก็ต้องแย่งชิงไม่ใช่หรือ ข้าแย่งชิงแล้ว เหตุใดถึงได้มีจุดจบเช่นนี้เล่า
“เกิดใหม่ชาติหน้าขอให้จดจำไว้ให้ดี ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ต้องพกมโนธรรมประจำใจไปด้วยเสมอ” เสิ่นกุยเยี่ยนบอกเรียบๆ พลางมองอีกฝ่ายดิ้นขลุกขลัก “คนเราแย่งชิงสิ่งที่ปรารถนาได้ แต่หากใช้วิธีไม่ถูกไม่ควร ใจคอคิดคด ดวงชะตาก็จะตกอย่างหนัก ตกเสียจนไม่ได้พบจุดจบที่ดีเช่นเจ้าในตอนนี้”
เสิ่นกุยหย่าสะท้านน้อยๆ
ข้ากำลังจะตายแล้วหรือ นางเอกทะลุมิติไม่มีทางตายไม่ใช่หรือไร แล้วเหตุใดข้าถึงจะตายได้เล่า
เป่าซั่นเหยียดยิ้มพลางหยิบท่อนไม้จากด้านหนึ่งก้าวย่างเข้ามาหา เสิ่นกุยหย่าเบิกตากว้างพลางส่ายหน้ายิกๆ อยากร้องขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แต่ไม่ว่านางจะกระเสือกกระสนดิ้นรนเพียงใด ผ้าที่ยัดอุดปากก็ยังแน่นหนาเหมือนเก่า
นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นกุยหย่าได้เข้าใกล้ความตายมากที่สุด นางตระหนกเสียจนแทบปัสสาวะราด เสิ่นกุยเยี่ยนเหมือนจงใจทรมานนางเล่นถึงได้ให้เป่าซั่นลงมือ ท่อนไม้ฟาดผัวะลงบนท้ายทอย เจ็บเจียนตายอย่างเดียวไม่พอ ยังได้ยินเป่าซั่นบอกว่า
“พระชายา หม่อมฉันตีพลาดเป้าไปหน่อยเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนบอกเรียบๆ “ตีอีกครั้งสิ”
“เพคะ”
นางเหมือนปลาในตลาดที่กำลังจะถูกฆ่า แรกสุดต้องทุบหัวให้สลบก่อน ทีเดียวไม่สลบก็ทุบซ้ำ เสิ่นกุยหย่าไม่เคยนึกเสียใจเท่านี้มาก่อน ใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันดีๆ อยู่แล้ว เหตุใดต้องทะลุมิติมาที่นี่ด้วย
ทะลุมิติยังไม่เท่าไร เหตุใดต้องมาเจอพวกคนโรคจิตที่ไม่รู้จักความโรแมนติก ทั้งยังไม่ได้ปลดล็อกสกินทอง นอนนับเงินสวยๆ ท่ามกลางชายหนุ่มรูปงาม
นิทานมีแต่เรื่องหลอกเด็กจริงๆ!
ด้านหลังศีรษะเจ็บหนึบ ในที่สุดภาพตรงหน้าก็ดับวูบ เสิ่นกุยหย่าคิดกับตนเอง ความจริงตายไปเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่แน่อาจยังสามารถย้อนคืนกลับไปใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ตามผับบาร์ต่อได้
ทว่าหลังความมืดมิดอันยาวนานผ่านพ้น เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ได้พบกับ…ความมืดมิดดังเดิม