รอบตัวเหมือนทำจากไม้ เล็กแคบพอบรรจุนางเพียงคนเดียวเท่านั้น พอลองมองไปรอบๆ ก็พบว่าด้านศีรษะมีรูใหญ่ขนาดฝ่ามือ พอให้เห็นแสงสว่างด้านนอกได้รำไร มีหมั่นโถวกับน้ำวางไว้ให้นางตรงปากรู
บางทีนางอาจอยู่ระหว่างทางย้อนมิติกลับไปก็ได้ เสิ่นกุยหย่าคิดพลางลูบศีรษะที่เจ็บระบมของตน แล้วตัดสินใจพลิกตัวตะแคงหลับต่อ
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังออกมาอีกครั้งจากหลุมฝังศพเสิ่นซื่อ ภรรยาเอกของกู้เจาตง ภายในสุสานบรรพชนสกุลกู้
“ทุกๆ สองสามวันคนเฝ้าสุสานจะนำน้ำกับของกินมาให้นางเพคะ พระชายาไม่ต้องทรงกังวล” เป่าซั่นรายงานพลางก้าวเดิน “ฝ่าบาททรงประกาศกับราษฎรทั้งแผ่นดินแล้วว่านางถูกประหารชีวิต”
เสิ่นกุยเยี่ยนที่ย่างเท้าช้าๆ ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ดี”
แม้เสิ่นกุยหย่าจะก่อกรรมทำเข็ญมามาก สมควรฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ไม่มีสิ่งใดง่ายดายเช่นนั้น ตราบใดที่ความแค้นของฉินอี๋เหนียงยังไม่ได้สะสาง นางไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายตายไปก่อนแน่
ไม่ว่าบัดนี้เจ้าตัวจะเป็นเสิ่นกุยหย่าหรือเสิ่นหานลู่ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งสิ้น สกุลเสิ่นปกป้องไม่ไหว สกุลกู้ไม่มีทางปกป้อง รอให้เรื่องวุ่นวายช่วงนี้สิ้นสุดลงก่อนเถิด นางจะค่อยๆ ชำระบัญชีหนี้แค้นด้วยอย่างใจเย็น
นางไม่ใจกว้างแม้แต่น้อย ใครติดค้างนางเท่าไร อย่าได้คิดว่าเวลาล่วงผ่านแล้วจะจบกัน นางจะค่อยๆ เอาคืนตั้งแต่ต้นจนจบอย่างถ้วนถี่ ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่กระผีกเดียว
เรื่องธิดาเทพสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในเมืองหลวง โชคดีว่าราชครูยังอยู่และได้กลับเข้าประจำตำแหน่ง เปิดหอบูชาฟ้าทำพิธีอีกครา หลังฝนฤดูร้อนตกลงมาระลอกหนึ่งก็ประกาศว่าได้ขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายทั้งหมดออกไปแล้ว ตอนแรกราษฎรยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จวบจนผ่านไปหลายวันก็ยังไม่เกิดเหตุร้ายแรงใดๆ ขึ้นในเมืองหลวง ข่าวลือถึงค่อยซาลงเป็นลำดับ
เมื่อไร้การชี้นำของธิดาเทพ คำกล่าวที่ว่าฟู่กุ้ยผินเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกจึงไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ฟู่โหย่วอี๋ร้อนใจเป็นกำลัง ใช้เวลาไม่นานก็ได้ธารเหลืองสลายมาไว้ในมือ แล้วส่งต่อไปให้หวาผินทั้งหมด
“เยี่ยนกุ้ยเฟยผยองหนักขึ้นทุกที ต้องฝากความหวังไว้ที่พี่หญิงแล้ว” ฟู่กุ้ยผินกล่าวอย่างจริงใจ
หวาผินพยักหน้า รับยาพิษมาด้วยรอยยิ้มบนเรียวปาก จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปตำหนักหย่งเหอ
“หวาผิน เวลานี้ฝ่าบาทกำลังเสวยชาอยู่ในตำหนักหย่งเหอ” หงจือท้วงเบาๆ “จะไปตอนนี้หรือเจ้าคะ”
ผู้เป็นนายพยักหน้า “หากไม่ไปตอนนี้ยังต้องรอจนถึงเมื่อไร”
“แต่…” หงจือมองแขนเสื้อข้างที่ใส่ธารเหลืองสลายเอาไว้ของนางอย่างวิตก จะไปวางยาพิษเยี่ยนกุ้ยเฟยมิใช่หรือ เจ้านายไม่เตรียมการสักหน่อยหรือไร ปุบปับก็ไปมือเปล่า ซ้ำยังไปตอนที่ฮ่องเต้อยู่ด้วยพอดี จะอันตรายเกินไปแล้ว
หวาผินไม่สนใจนางกำนัล ยังคงเดินผ่านตำหนักอันงามหรูต่างๆ ทีละก้าวอย่างมั่นคง
เพราะถูกขายเข้าหอคณิกาแต่เด็ก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของนางจึงฉับไวเป็นพิเศษ อยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องข้ามศีรษะคนเหล่านั้นไปให้ได้ บรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอันขาด
นางอยากมีอำนาจล้นฟ้า อยากมีเงินมากมายก่ายกอง อยากให้แผ่นดินนี้ไม่มีผู้ใดกล้าหมิ่นแคลนนางอีกแม้แต่คนเดียว
ทว่านางถูกความหรูหรามั่งคั่งนี้บังตาให้พร่าเลือนเสียได้ ไป๋หูตาย สุ่ยเซียนตาย ชิงผินตาย เจียงผินก็ตายไปแล้วเช่นกัน ตำหนักในแห่งนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักใคร่จากบุรุษผู้เดียวหรือเพื่อครอบครองบัลลังก์หงส์ นางยอมเปลี่ยนตนเองจากไป่เหอผู้เคยหลงรักกู้เจาเป่ยอย่างบริสุทธิ์ใจมาเป็นหวาเฟยผู้สองมือเปื้อนเลือด
จวบจนบัดนี้เมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมชายตามองนางอีกต่อไปแล้ว นางถึงเพิ่งตระหนักว่าที่แท้ตำหนักในก็น่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ นางเคยคิดว่าตนเองสามารถเดินเข้าไปในหัวใจของกู้เจาเป่ย แต่เท่าที่มองจากตอนนี้หัวใจของเขาไม่เคยมีที่ว่างสำหรับคนที่สอง
นางเข้าวังหลวงเพื่อกู้เจาเป่ย นี่ต่างหากเล่าความตั้งใจแรกเริ่มของนาง
เพิ่งจะมานึกออกตอนนี้เอง…