บทที่ 167 บาปที่เจ้าก่อ
ความเย็นชามลายหายไปจากดวงตาที่กู้เจาเป่ยมองไป่เหออยู่บ้าง เห็นร่างผอมบางของนางสั่นเทาก็รู้ได้ชัดว่านางหวาดกลัว หากแต่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน้อยๆ เพราะเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องตาย
“เรารับรู้แล้ว”
ไป่เหอพรูลมหายใจอย่างโล่งอก นึกตื้นตันอยู่เงียบๆ อย่างน้อยภาพของนางในหัวใจของกู้เจาเป่ยก็ยังไม่เลวร้ายจนถึงขั้นสุด
หากชาติหน้าได้พบกันอีกครั้งและเจอกันให้เร็วกว่าชาตินี้ ทุกอย่างอาจเริ่มต้นใหม่ได้
นางคิดอย่างนั้น
ฮ่องเต้เก็บหนังสือสัญญาไปแล้ว ตำหนักเหอฮวนของฟู่กุ้ยผินถูกองครักษ์หลวงปิดล้อมไว้ทันที ราชบัณฑิตฟู่รีบรุดเข้าวังหลวงมายืนฟังการไต่สวนข้างเหนียนไทเฮา
ฟู่กุ้ยผินคุกเข่าอยู่ในห้องโถงตำหนักอุดรโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จวบจนเห็นหวาผินถูกคุมตัวเข้ามาในอาภรณ์สีขาว สีหน้านางถึงได้เปลี่ยนไปทันควัน
“ฟู่ซื่อนามโหย่วอี๋วางแผนปองร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ ล่วงเกินเบื้องสูง พยานหลักฐานพร้อม” เหนียนไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “ท่านราชบัณฑิตฟู่มีสิ่งใดจะอธิบายหรือไม่ ความผิดฐานปองร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ต้องถูกประหารสามชั่วโคตร!”
ธารเหลืองสลายนั้นราชบัณฑิตฟู่เป็นคนให้ไปเอง ทั้งยังรู้ด้วยว่าฟู่โหย่วอี๋ตั้งใจจะทำอะไร เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าหลานสาวจะโง่เขลาถึงขั้นทิ้งหลักฐานชัดแจ้งปานนี้ไว้ ต่อให้เขาอยากเอาตัวรอดก็ไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไรดี
ฟู่กุ้ยผินหน้าซีดเผือด มองหวาผินที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าไม่รักชีวิตแล้วหรือไร!”
ไป่เหอลบเครื่องประทินโฉมทิ้ง เหลือเพียงดวงหน้าแสนธรรมดาประดุจสาวชาวบ้าน ไม่เหลือเส้นสายเฉี่ยวคมใดๆ แม้แต่น้อย
นางตอบ “สามารถใช้ชีวิตของข้าทิ้งร่องรอยไว้ในพระทัยฝ่าบาทได้ก็คุ้มค่าแล้ว”
ฟู่โหย่วอี๋รู้สึกเหมือนเบื้องหน้ามืดลงถนัดใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมเยี่ยงหวาผินเปลี่ยนเป็นหญิงบูชาความรักแบบไม่ห่วงชีวิตในชั่วพริบตาได้อย่างไร ตอนหารือเรื่องนี้กับนางยังทำท่าเจ้าแผนการออกอย่างนั้น นางถึงได้วางใจยอมเขียนสัญญาให้!
บัดนี้อีกฝ่ายกลับจะลากนางไปยมโลกด้วยกันเสียแล้ว
ข้าโง่เขลาหรือ เปล่า ไม่เลย หวาผินตบตาคนเก่งเกินไปต่างหาก!
“ในเมื่อไม่มีสิ่งใดจะกล่าว เราก็จะออกพระราชโองการให้ประหารชีวิตฟู่กุ้ยผินและสกุลฟู่สามชั่วโคตรโทษฐานปองร้ายองค์ชายเดี๋ยวนี้”
ราชบัณฑิตฟู่สะดุ้งโหยง “ฝ่าบาท! เรื่องนี้…กระหม่อม…กระหม่อมไม่รู้เห็นด้วยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟู่โหย่วอี๋มองผู้เป็นปู่อย่างตะลึงงัน
“ฟู่กุ้ยผินอยู่ในวังหลวงทำอะไรบ้าง กระหม่อมไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยจริงๆ! สองแผ่นดินที่รับราชการในราชสำนักกระหม่อมจงรักภักดีมาโดยตลอด ต่อให้ไม่มีความชอบก็ต้องมีความดีที่ขยันขันแข็ง ฝ่าบาทจะทรง…”
กู้เจาเป่ยหน้าบึ้ง “แผนการปกครองใหม่ระบุไว้ว่าโทษหนักจะผ่อนผันไม่ได้”
ราชบัณฑิตฟู่ตระหนกเสียจนหว่างคิ้วย่นเป็นริ้วๆ ตัวสั่นงันงกพูดอะไรไม่ออก
คะเนว่าข่มขู่จนพอแล้วเหนียนไทเฮาที่อยู่อีกทางถึงค่อยเอ่ยขึ้น “ลูกแม่ ฟู่กุ้ยผินมีโทษสมควรตายจริง แต่ไม่ต้องประหารสกุลฟู่ไปด้วยก็ได้กระมัง”
ประหนึ่งแสงสว่างวาบขึ้นในความมืด ราชบัณฑิตฟู่หันขวับไปมองผู้พูด
เหนียนไทเฮาถือถ้วยชากล่าวต่อยิ้มๆ “ยึดตำแหน่งขุนนางคืนจากคนสกุลฟู่ทั้งหมดแล้วเนรเทศออกจากเมืองหลวงก็พอ”
ความหวังเมื่อครู่พลันแตกสลายเป็นผุยผง ราชบัณฑิตฟู่รีบโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า “ไทเฮาทรงเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อม…”
“ดูสิพ่ะย่ะค่ะ ราชบัณฑิตฟู่ไม่ใคร่พอใจวิธีของเสด็จแม่นัก ควรประหารล้างตระกูลไปเสียดีกว่า เนรเทศออกจากเมืองหลวงเป็นความอัปยศขั้นรุนแรง สู้ทำตามปณิธานของราชบัณฑิตฟู่แทนเถิด” กู้เจาเป่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
เครายาวสั่นเทิ้ม ราชบัณฑิตฟู่ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว เหนียนไทเฮากล่าวยิ้มๆ “ข้าเป็นคนสวดมนต์ไหว้พระ ฮ่องเต้ผ่อนผันสักครั้ง ออกพระราชโองการปลดจากตำแหน่งเถิด”
“ลูกน้อมรับพระเสาวนีย์”
ระหว่างบทสนทนาสัพยอกหยอกเอินของสองแม่ลูก ขุนนางบุ๋นผู้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของเหวินไทเฮาในอดีตได้ร่วงตกจากอำนาจด้วยประการฉะนี้