แม้แต่จะให้นางได้หลับตาลงในโลกที่มีแต่คำสรรเสริญชื่นชมตนเองก็ไม่ได้
“คิดว่าเราร้ายกาจใช่หรือไม่” กู้เจาเป่ยถามเบาๆ
ไป่เหอกอดพิณผีผาน้ำตาอาบแก้ม กระนั้นก็ยังส่ายหน้า
“เราร้ายกาจมากจริงๆ นั่นล่ะ แต่ก็ยังอยากคืนความเป็นธรรมให้กับคนเหล่านั้นบ้าง” เขาบอก “มีคนสอนเราว่าเป็นเจ้าแผ่นดินต้องรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี สิ่งใดที่เจ้าทำถูก เราจำได้ทั้งหมด สิ่งใดที่ทำผิดเราก็จะไม่อภัยให้เช่นกัน…มีเพียงกลุ่มคนที่รอเจ้าอยู่ในยมโลกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ให้อภัยเจ้า”
ไป่เหอนึกถึงสุ่ยเซียน สหายรักที่ถูกนางฆ่าทิ้งเองกับมือ
สุ่ยเซียนเป็นพวกพูดจาไม่รู้ขอบเขต นางไม่ชอบนิสัยเช่นนั้นเอาเสียเลย ทว่าขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็น่าเอ็นดูอย่างยิ่ง สมัยที่ยังอยู่ในหอเงาบุปผาเมามัว เวลาเจอลูกค้าจอมตอแยรับมือยากทีไร สุ่ยเซียนจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ทุกครั้ง ยามมีเสื้อผ้าอาภรณ์แบบใหม่ๆ ฝ่ายนั้นจะลากนางวิ่งไปเลือกเป็นคนแรกเสมอ
‘ใบหน้าซีดเซียวเหลือเกิน ถูกลูกค้ารังแกมาอีกแล้วใช่หรือไม่ บอกชื่อข้ามา ข้าจะเข้าครัวไปวางยาถ่ายให้มันกิน!’
‘ไป่เหอ เหตุใดเจ้าถึงชอบเอาแต่เก็บเงียบไม่พูดไม่จาเล่า มีอะไรไม่สบอารมณ์ก็ระบายออกมาให้ข้าฟังสิ จะได้โล่งขึ้น’
‘นางเด็กคนนี้นี่ รอด้วยสิ เจ้าเข้าวังหลวง ข้าก็จะเข้าด้วย!’
นางเคยเกลียดสุ่ยเซียนที่ช่วยคนนอก ไม่ยอมช่วยนาง ตอนนี้มาย้อนคิดถึงเพิ่งตระหนักว่าสุ่ยเซียนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ผู้ที่เปลี่ยนคือนางเอง ซ้ำยังเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว น่ากลัวจนฝ่ายนั้นไม่ยอมพูดจากับนางอีก กระทั่งก่อนจากไปยังไม่ชายตามองนางด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท…” ไป่เหอเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มีอีกผู้หนึ่งที่ยังทรงจับไม่ได้ไม่ใช่หรือเพคะ”
กู้เจาเป่ยพยักหน้า “ขันทีวรยุทธ์เป็นเลิศที่เจ้าซ่อนไว้ข้างกายมาตลอด เราเคยเห็นมันตอนช่วยเจียงผิน แต่มันวิ่งเร็วนัก หากปล่อยไว้ในวังหลวงจะกลายเป็นภัยร้ายในภายหลัง”
“มันชื่อเสี่ยวลิ่วจื่อเพคะ” ไป่เหอกล่าว “เป็นอดีตคนสนิทของหู่ชาง”
สีหน้าของกู้เจาเป่ยเคร่งเครียดขึ้นทันที
“หม่อมฉันทราบดีว่าฝ่าบาทจะต้องกริ้ว” นางหัวเราะเบาๆ ทว่าน้ำตายังไหลรินลงมาไม่ขาดสาย “เสี่ยวลิ่วจื่อเข้าวังหลวงมาแก้แค้นให้รองผู้บัญชาการหู่ หม่อมฉันจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้มันทำงานให้หม่อมฉันมาโดยตลอด แต่ฝ่าบาทจะต้องทรงเชื่อนะเพคะว่าหม่อมฉันไม่มีวันคิดร้ายต่อพระองค์แม้แต่น้อย”
เพียงอยากใช้ประโยชน์จากคนผู้นั้นเท่านั้น…หาไม่สตรีบอบบางอ่อนแอไร้คนหนุนหลังอย่างนางจะเอาตัวรอดในตำหนักในได้อย่างไร
เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วฮ่องเต้ก็ลุกเดินออกจากตำหนักเย็นโดยไม่เหลียวหลัง
“ฝ่าบาท!” ไป่เหอทำท่าจะดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างร้อนรน ให้เขาอยู่ต่อแม้เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ยังดี
ทว่าเท้าของนางพลันสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้าจนล้มลงไปทั้งที่กอดพิณผีผาไว้ ร่างในเสื้อคลุมสีเหลืองสว่างมิได้ชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย คนที่เข้ามากลับเป็นขันทีใหญ่แห่งสำนักพระราชวังที่ถือแพรขาวกับสุราพิษมาด้วย
หลังจากปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่นานไป่เหอก็เลือกอย่างหลัง
สุราพิษไหลลงคอ หากแต่นางยังสามารถดีดพิณผีผาต่ออีกครึ่งเพลง โดยเลือกเพลง ‘เฝ้าคะนึง’ ที่กู้เจาเป่ยเคยชอบฟังที่สุด ท่วงทำนองหนักเบาสลับไล่เรียงเสนาะหู ใบหน้าเปื้อนยิ้มคละเคล้าไปด้วยน้ำตา
‘เป็นคนงามที่บรรเลงดนตรีได้ไพเราะจริง เจ้ามีนามว่าอย่างไร’
‘ผู้น้อยไป่เหอเจ้าค่ะ’
สายพิณถูกดีดไปได้อีกไม่กี่ครั้ง เสียงดังกังวานก็เงียบหายไปจากตำหนักเย็น ทางในวังหลวงทอดยาวเหยียด ชายคาโค้งงอนหลั่นซ้อน ผ่านไปอีกสองสามปีก็จะไม่มีผู้ใดจดจำแล้วว่าวังหลวงเคยมีหวาผินผู้ใช้เล่ห์เพทุบายสารพัด แต่ก็ต้องมาจบชีวิตลงทั้งที่ไม่สมหวัง
เสิ่นกุยเยี่ยนประคองครรภ์ยืนมองท้องฟ้าอึมครึมจากใต้ชายคาตำหนักหย่งเหอแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียด
“มัวเมาในรักมักหนักทุกข์…”
เป่าซั่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกนิ้วนับอยู่นานก็เอ่ยขึ้น “พระชายา พอหวาผินจากไปเช่นนี้ ในวังหลวงก็แทบไม่เหลือใครแล้วนะเพคะ”