บทที่ 168 จังหวะจวนแจ
แทบไม่เหลือใครแล้วจริงๆ สตรีฝ่ายในที่มีตำแหน่งเหลือเพียงเยี่ยผินกับเกาจิ่นซิ่ว ทว่าตำหนักในของฮ่องเต้ไม่เคยขาดหญิงงามมาแต่ไหนแต่ไร นางไม่จำเป็นต้องหดหู่สิ้นหวังและไม่ต้องดีใจเร็วเกินไปนัก
พระอัยกาเหวินยามนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด ส่วนบรรยากาศในเมืองหลวงก็แปลกประหลาดชอบกล สกุลฟู่ถูกเนรเทศ คนจำนวนไม่น้อยติดร่างแหเข้าคุก ซ้ำยังมีข่าวลือว่าสื่อฝาหลงบาดหมางกับแม่ทัพเหลียน ถึงขั้นนำกองทหารรักษาพระองค์ไปประลองฝีมือกับทหารกล้าแห่งกองทัพทักษิณตรงชานเมืองทุกวัน
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่อยากไปสืบถามว่าผู้บัญชาการทั้งสองบาดหมางกันจริงหรือไม่ เวลานี้นางมีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
โชคดีที่ฝ่ายในมีคนน้อยลง นางจึงประหยัดค่าใช้จ่ายของตำหนักในไปได้มาก ประกอบกับแอบให้เป่าซั่นนำสมบัติล้ำค่าของวังหลวงบางชิ้นออกไปขาย หลังจากเหนื่อยอยู่ครึ่งเดือนก็รวบรวมเงินได้ไม่น้อย จากนั้นจึงไปซื้อยุ้งฉางทางตอนเหนือของเมืองหลวงเอาไว้แห่งหนึ่ง
กู้เจาเป่ยยุ่งตัวเป็นเกลียวจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น หลังจัดเตรียมกำลังพลเรียบร้อยแล้วเขาก็ส่งจดหมายเชิญถึงเหล่าชินอ๋องให้มาเที่ยวเล่นที่เมืองหลวง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ…มาถวายอารักขาราชวงศ์
ทว่าตาเฒ่าพวกนั้นฉลาดเป็นกรด รู้ทันเจตนาที่แท้จริงของเขา ย่อมไม่อยากถูกดึงมาวุ่นวายด้วย ได้ยินว่ามีเพียงเซี่ยวชินอ๋องเท่านั้นที่ออกเดินทางมาเมืองหลวง
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าเซี่ยวชินอ๋องและท่านโหวน้อยหมิงอวี่บุตรชายจะเป็นพวกเดียวกับพระอัยกาเหวินนะพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นกุยเหวินผู้อายุน้อยยืนพูดอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “ท่านโหวน้อยหมิงอวี่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของพระองค์ แม้มิได้ร่วมสายเลือดทางตรงกับอดีตฮ่องเต้ แต่ก็เป็นเชื้อสายราชวงศ์เช่นกัน ตามความเห็นของกระหม่อม เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระอัยกาเหวินคิดจะก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยพยักหน้า รู้ก็ส่วนรู้ ทว่าตอนนี้กำลังพลฝ่ายพวกเขาไม่พอเอาเสียเลย หากพระอัยกาเหวินยกทัพมาล้อมเมืองหลวงเพื่อดันหมิงอวี่ขึ้นครองราชย์ เขาควรทำเช่นไรดี
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เปิดประตูเมืองหลวงให้สุด แต่การเข้าออกต้องใช้ทะเบียนเรือน หากไม่มีทะเบียนเรือนห้ามเข้าเมืองหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศในเมืองหลวงยิ่งตึงเครียดเมื่อมีคำสั่งนี้ กระทั่งออกมาเดินตามถนนราษฎรก็ยังสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้มีกำลังทหารเพียงหยิบมือ ไม่เพียงพอให้ป้องกันเมือง
“เจ้าเด็กอ่อนหัด ขนยังขึ้นไม่ทันครบก็หาญจะต่อกรกับข้า” เหวินโซ่วซานที่นั่งอยู่ในค่ายทหารร้องหึหลังได้อ่านรายงานลับ “ถึงอย่างไรแผ่นดินก็คือแผ่นดินที่ควบคุมจากบนหลังม้า ในเมื่อมันกล้ารังแกบุตรสาวข้า ฆ่าบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกของข้า ก็อย่าโทษที่ข้าโค่นล้มมันเพื่อให้บทเรียนก็แล้วกัน!”
ราชบัณฑิตฟู่มาอยู่ในกองทัพพระอัยกาเหวินแล้ว วงศ์ตระกูลถูกยึดทรัพย์ หลานสาวต้องตายอย่างน่าอนาถในวังหลวง หัวอกเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความคั่งแค้น
“ฮ่องเต้เสเพลไม่เอาไหน นานๆ ทีถึงนึกอยากจัดการงานราชกิจอย่างจริงจังขึ้นมา พวกพ้องของเขาในราชสำนักมีผู้ใดบ้างข้ารู้ทั้งหมดขอรับ แม่ทัพอวี่เหวินยังอยู่ในเมืองหลวง มีไพร่พลถึงหนึ่งแสนนายอยู่ในมือ รวมกับกองทัพของพระอัยกาที่นี่ก็มากเกินพอจะถล่มเมืองหลวงให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
พระอัยกาเหวินมองคนพูด “การจัดสรรไพร่พลในเมืองหลวงเป็นอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่”
ราชบัณฑิตฟู่ร้องหึ “ก่อนจะถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง ข้ายังร่วมหารือเรื่องนี้กับฮ่องเต้และเหล่าขุนนางสำคัญ ไพร่พลที่ฮ่องเต้ดึงมาใช้ได้มีเพียงทหารไม่กี่หมื่นนายของกองทัพทักษิณ กองทหารรักษาพระองค์ และกององครักษ์หลวง รวมกันแล้วไม่ถึงครึ่งของกองทัพที่นี่ของพระอัยกาด้วยซ้ำ กำลังพลถูกกระจายออกไปรอบเมืองหลวง หมายใจว่าจะล่อพระอัยกาเข้าเมืองแล้วตัดทัพใหญ่ของท่านให้ขาดกลาง จากนั้นก็ปิดประตูตีแมวเสีย หึ! ทำเหมือนเด็กเล่นปาหี่ เห็นคนรอบข้างโง่เขลากันหมดหรือไร”
เพราะเป็นข่าวจากราชบัณฑิตฟู่ พระอัยกาเหวินจึงเชื่อสนิทใจ ในเมื่อสถานการณ์เมืองหลวงเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอำพรางอีกต่อไป ชูธงใหญ่สกุลเหวินอย่างเปิดเผย
พระอัยกาเหวินก่อกบฏอย่างเป็นทางการ
เสิ่นกุยอู่ออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับกองทัพสกุลเหวินในคืนนั้นพร้อมตราสั่งการทหารสองหมื่นนาย แล้วได้รับแต่งตั้งจากพระอัยกาเหวินให้เป็นทัพหน้าบุกตีเมืองหลวง
กู้เจาเป่ยสาละวนกับการรับศึก เขาส่งทหารกองทัพทักษิณออกไป เตรียมรบกับเสิ่นกุยอู่ที่เมืองเต๋อตงในอีกสองวันให้หลัง
เหนียนไทเฮาปริวิตกเป็นล้นพ้น อยากมาพูดคุยกับเสิ่นกุยเยี่ยน เพราะถึงอย่างไรเสิ่นกุยอู่ก็เป็นคนสกุลเสิ่น
ทว่าหาทั่ววังหลวงจนแทบพลิกแผ่นดินก็ยังไม่เจอตัวเยี่ยนกุ้ยเฟย จนมารู้เรื่องที่ตำหนักหย่งเหอว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยได้รับป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ ออกจากวังหลวงไปแล้ว
เหลวไหลเหลือเกิน ครรภ์โตถึงเพียงนั้นยังจะออกไปข้างนอกด้วยเหตุใดอีก! เหนียนไทเฮาส่งคนไปตามหาอย่างร้อนใจ