นับแต่ขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้ไม่ได้ติดต่อกับชินอ๋องต่างๆ เท่าใดนัก เมื่อเมืองหลวงตกอยู่ในภัยร้ายครานี้ เหล่าชินอ๋องจึงไม่อยากช่วยเหลือ เสิ่นกุยเยี่ยนจึงต้องอุ้มครรภ์กลมโตเท่าลูกหนังไปหาอาจารย์โจว
ว่ากันด้วยวาทศิลป์และฝีมือในการพูดโน้มน้าว อาจารย์โจวเก่งกาจเลิศล้ำกว่านักพูดทุกคน
“ท่านอาจารย์ได้โปรดเกลี้ยกล่อมให้เหล่าชินอ๋องยอมช่วยฝ่าบาทด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางวางของแทนตัวฮ่องเต้ลงบนมืออาจารย์โจวแล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ที่กุยเยี่ยนเชื่อใจได้มีเพียงท่านอาจารย์คนเดียวเท่านั้น”
อาจารย์โจวลูบเครายิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับคำ “ข้าไปก็ได้ ทั้งยังจะพาคนผู้หนึ่งไปด้วย”
“ใครหรือเจ้าคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนถามด้วยความฉงน
สวี่จวงโจวก้าวออกจากด้านข้างมาคำนับนาง “กระหม่อมถวายบังคมกุ้ยเฟย”
สวี่จวงโจวผู้เยี่ยมยุทธ์ร่วมทางเป็นเพื่อนอาจารย์โจวได้นับว่าเหมาะเจาะยิ่ง เสิ่นกุยเยี่ยนประคองเขาขึ้นมายิ้มๆ แล้วพยักหน้า
หลังออกจากสำนักวิชานางตระเวนไปตามร้านขายธัญพืชเจ้าใหญ่ของเมืองหลวงต่อ
เป่าซั่นท้วงเบาๆ อย่างไม่พอใจ “พระชายาเพคะ เวลานี้พระชายาทรงเป็นถึงกุ้ยเฟยผู้สูงส่ง จะทรงเจรจากับคนเหล่านี้ด้วยพระองค์เองได้อย่างไร”
ผู้เป็นนายตอบยิ้มๆ “ต้องฉวยโอกาสที่ช่วงนี้ยังพอใช้ตำแหน่งเข้าข่มได้ ถ้าไม่รีบใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อเมืองหลวงตกอยู่ในความอลหม่านก็ไม่มีโอกาสแล้ว”
ใช้ตำแหน่งเข้าข่มเพื่ออะไรกัน เป่าซั่นไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ร้านขายธัญพืชสี่เจ้าใหญ่ในเมืองหลวงมีธัญพืชรวมกันหลายหมื่นตั้น ราคากลางของธัญพืชในเมืองหลวงคือตั้นละหนึ่งตำลึง แต่วันนี้เสิ่นกุยเยี่ยนพกตั๋วเงินออกมาด้วยเพียงสามพันตำลึงเท่านั้น
แต่หลังจากตระเวนไปทุกร้านด้วยตนเองจนครบ ธัญพืชทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในยุ้งฉางทางตอนเหนือของเมืองโดยที่นางยังเหลือเงินติดตัวอีกหนึ่งพันตำลึง
เป่าซั่นอึ้งตาค้าง จวบจนเดินออกมานานแล้วบทสนทนาระหว่างเจ้านายตนกับเถ้าแก่แต่ละร้านก็ยังก้องอยู่ในหัว
‘มอบธัญพืชให้ข้า ข้าจะจ่ายมัดจำให้ก่อน จากนั้นจะผ่อนจ่ายทุกเดือนจนหมดโดยใช้ภาษีหักลบดอกเบี้ย ร้านใดมอบธัญพืชให้ข้า ร้านนั้นไม่ต้องจ่ายภาษีไปหนึ่งปี’
ภาษีเป็นปัญหาหนักอกของผู้ทำการค้ามาแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินว่า ‘ไม่ต้องจ่ายภาษี’ ประกอบกับกุ้ยเฟยผู้ยิ่งใหญ่ใช้บารมีเข้าข่ม เถ้าแก่แต่ละร้านจึงยอมปล่อยธัญพืชให้โดยไม่อิดเอื้อน
มีอยู่ร้านหนึ่งที่ไม่ยินยอม แต่ไม่เป็นไรเสิ่นกุยเยี่ยนมอบป้ายพระราชทานให้อีกสามร้านที่ยอมขายธัญพืชให้ เทียบกันแล้วย่อมมีอำนาจแข่งขันสูงกว่า อีกไม่นานร้านสุดท้ายก็จะคิดได้เอง
แม้จะวิ่งวุ่นเข้าออกวังหลวง บุตรของเสิ่นกุยเยี่ยนก็ว่าง่ายยิ่งนัก นอนนิ่งอยู่ในครรภ์ไม่ขยับสักนิด มีเพียงเวลาที่นางเหนื่อยล้าถึงจะถีบนางบ้างเพื่อเตือนว่าควรพักผ่อนได้แล้ว
พอกลับเข้าวังหลวงเหนียนไทเฮาก็เอ็ดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ายังมีครรภ์อยู่ ไม่คิดถึงตนเองก็คิดถึงบุตรในครรภ์บ้าง ออกไปตะลอนๆ ข้างนอกเยี่ยงนี้มีอย่างที่ใดกัน”
เสิ่นกุยเยี่ยนยืนสงบเสงี่ยมระหว่างถูกอบรม แล้วเอ่ยขอขมาอย่างจริงจัง
ทว่าวันรุ่งขึ้นก็ยังออกไปข้างนอกเหมือนเดิม…
กู้เจาเป่ยมอบหมายให้อัครเสนาบดีกู้จัดการงานต่างๆ ในราชสำนัก ส่วนตนเองไปที่กองทัพทักษิณแล้วสวมชุดแม่ทัพ
“ฝ่าบาททรงพระดำริจะออกรบด้วยพระองค์เองหรือ” เป่าซั่นขมวดคิ้วถามจุยอวิ๋น
อีกฝ่ายทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “ศึกครานี้เป็นศึกใหญ่ ฝ่าบาทตรัสว่าต้องทรงออกรบด้วยพระองค์เองเท่านั้น”
แต่คนเราเมื่ออยู่กลางสนามรบก็ตัวเล็กกระจิริดไม่ต่างจากเมล็ดพืชกลางมหาสมุทร หากเกิดอะไรขึ้นมาเจ้านายนางจะทำเช่นไร
เมื่อได้ยินว่าสามีคิดจะออกศึกด้วยตนเอง เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ตื่นตระหนกเท่าใดนัก เพียงเก็บตัวอยู่ในวังหลวงแต่โดยดีแล้วลงมือทำเสื้อเกราะให้เขาด้วยตนเอง
ศึกใหญ่ในสองวันให้หลังกู้เจาเป่ยออกไปโรมรันกับเสิ่นกุยอู่ ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้หนุ่มน้อย ไม่มีประสบการณ์รบทัพจับศึกมาก่อน จึงพ่ายแพ้จนต้องถอยร่นเข้าเมืองหลวง ขณะที่เสิ่นกุยอู่ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
“มิเสียแรงที่เป็นแม่ทัพมือฉมังของข้า” เหวินโซ่วซานปราโมทย์เป็นล้นพ้น สั่งจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้เสิ่นกุยอู่
ราชบัณฑิตฟู่ขมวดคิ้วมองแม่ทัพหนุ่ม แล้วกระซิบกับพระอัยกาเหวิน “พระอัยกาไว้ใจเขาถึงเพียงนี้จะไม่เป็นไรแน่หรือ เขาเป็นคนสกุลเสิ่นนะขอรับ พวกสกุลเสิ่นที่เหลือก็ยังอยู่ในเมืองหลวงกันทั้งตระกูล”
เหวินโซ่วซานแค่นหัวเราะแล้วปรายตามองเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กคนนี้เรียกร้องสิ่งใดจากข้า”
“สิ่งใดหรือขอรับ” ราชบัณฑิตฟู่ถามอย่างสงสัย
“เมื่อใดที่พวกเราตีเมืองหลวงแตก เขาขอให้ข้าออกคำสั่งฆ่าคนสกุลเสิ่นล้างตระกูลเป็นรางวัล”
คนฟังตกตะลึงจังงัง ก่อนหันไปมองเสิ่นกุยอู่แวบหนึ่ง
เหี้ยมเกรียมยิ่งนัก!