ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 169-170
บทที่ 169 สายเกินการณ์
“ขอรับ” คนสนิทนำคำสั่งไปถ่ายทอด
ยามไปถึงยังย้ำนักย้ำหนากับเสิ่นกุยอู่และอวี่เหวินฉางชิงว่า “จะต้องยกทัพนะขอรับ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้เชื่อข่าวใดอีก”
แม่ทัพหนุ่มทั้งสองรับคำอย่างแข็งขัน
ทว่าในคืนนั้นเหวินโซ่วซานก็ได้รับข่าวว่ากองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงขุดสนามเพลาะอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือและฝั่งตะวันตก จัดทัพขนาดใหญ่และค่ายกลแปดทิศ* ทั้งคืน เตรียมรอรับศึกอย่างพรักพร้อม
“หากบุกโจมตีในวันพรุ่งนี้ ทางท่านแม่ทัพอวี่เหวินและท่านแม่ทัพเสิ่นมิได้เตรียมการรับมือ ไปแจ้งให้เปลี่ยนกระบวนทัพเอาตอนนี้เกรงว่าจะไม่ทันกาล” ที่ปรึกษาฝ่ายยุทธ์แนะ “ให้รั้งทัพไว้ก่อน รอปรึกษาหารือกันให้เรียบร้อยค่อยโจมตีดีกว่าขอรับ”
เหวินโซ่วซานเม้มปากก่อนจะถอนหายใจพร้อมพยักหน้า “เช่นนั้นก็ส่งข่าวไปแจ้งเสีย”
“ขอรับ”
เหวินโซ่วซานสั่งรั้งทัพชั่วคราวแล้วอ่านรายงานข่าวต่างๆ ที่ได้รับมา กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงมีเพียงเจ็ดแปดหมื่นนาย หากฝ่ายเขาโอบตีพร้อมกันสามทาง รวมกับทัพหนุนทางด้านหลัง น่าจะตีเมืองหลวงแตกได้ไม่ยาก ขอเพียงชิงจับหมิงอวี่ขึ้นนั่งบัลลังก์และฆ่าฮ่องเต้เสียก่อนที่เหล่าชินอ๋องจะยกทัพมาช่วย ทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่วันรุ่งขึ้นเมื่อเขาเรียกอวี่เหวินฉางชิงกับเสิ่นกุยอู่มาหารือเรื่องปรับเปลี่ยนเส้นทางโจมตี กลับได้ยินว่าทัพทั้งสองบุกเข้าตีเมืองหลวงแล้ว
“นี่มันอะไรกัน!” พระอัยกาเหวินตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้หารือกันก่อนค่อยบุกตี!”
คนสนิทรายงานตัวสั่นงันงก “ก่อนหน้านั้นท่านแม่ทัพสั่งไว้ ไม่ว่าทั้งสองทัพได้ยินข่าวให้ยับยั้งการบุกตีจากที่ใดก็ห้ามเชื่อเด็ดขาด ดังนั้นเมื่อมีคนส่งข่าวใหม่ไปแจ้งเมื่อคืนแม่ทัพทั้งสองจึงไม่ฟังขอรับ”
เหวินโซ่วซานเกรี้ยวกราดสุดขีด รีบยกทัพไปยังเมืองหลวงทันที
สมรภูมิอาบย้อมไปด้วยเลือด ทหารที่ใส่เสื้อต่างสีเงื้อดาบเข้าห้ำหั่นกันเมื่อเห็น บางคนขาขาดคลานทุรนทุรายอยู่บนพื้นแล้วถูกทหารฝ่ายตรงข้ามฟันคอในฉับเดียว บางคนเหลือเพียงลมหายใจรวยริน เอาแต่มองไปทางเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ว่าวางกลยุทธ์การศึกมาดีสักเท่าไร เมื่อออกศึกจริงก็ยังพบอุปสรรคอื่นได้อีกมากมาย หลังสงครามผ่านพ้นไปทุกครั้ง แม้ฝนจะสาดซัดดุจสายธารก็ไม่อาจล้างสีแดงฉานที่ฝังอยู่ในดินออกไปได้
กองทัพทักษิณตะลุยฝ่าเข้าไปในทัพข้าศึก แม้จะเตรียมกับดักและจัดกระบวนทัพมาอย่างดี แต่ไพร่พลก็ยังบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ประตูหลักของเมืองหลวงปิดสนิท ทว่าประตูเล็กกลับมีช่องสุนัขลอด เด็กน้อยผู้หนึ่งไม่รู้วิ่งจากที่ใด มานั่งร้องไห้จ้ากลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยศพ
เสียงร้องไห้สั่นสะท้านสะเทือนขึ้นไปถึงชั้นฟ้า ทหารกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงล้วนแต่กู่ร้องคำรามนัยน์ตาแดงฉาน เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงม้าเหยียบกระดูกแตกดังไม่ขาดสาย กังวานความโศกตรมแผ่ตัวสูงจนแม้แต่สวรรค์ยังได้ยิน
แม้นเมาเกลือกกลางศึกขออย่าขัน เหลือชีวันกลับบ้านหรือไม่มิรู้ได้
กู้เจาเป่ยยืนอยู่บนกำแพงเมือง มิได้ออกรบด้วยตนเอง เขาหารือกับอวี่เหวินฉางชิงและเสิ่นกุยอู่ไว้แต่แรกแล้วว่าในศึกครานี้จะเสียไพร่พลกองทัพทักษิณไปสามพันนาย ส่วนทัพหน้าที่ทั้งสองนำทัพจะบอบช้ำหนึ่งหมื่นนาย
สำหรับผู้ปกครองนั่นเป็นเพียงเลขจำนวน ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคืออเวจีบนดิน ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องตายใต้คมอาวุธ กลองศึกดังรัวเป็นระลอก แตรสัญญาณฟังคล้ายเสียงหวนไห้
“น่ากลัวว่าดวงวิญญาณผู้กล้าเหล่านี้จะวนเวียนอยู่ในเมืองหลวงไปอีกหลายปี” เสิ่นกุยเยี่ยนที่ไม่รู้ว่าขึ้นมาบนกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อไรหยุดยืนเคียงข้างฮ่องเต้แล้วปรารภเบาๆ
“เจ้ามาด้วยเหตุใด” สีหน้าที่ยังสงบเยือกเย็นอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันทีเมื่อเห็นนาง กู้เจาเป่ยรีบดึงนางลงจากกำแพงเมืองพลางขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่ที่ที่สตรีควรมา ไหนว่าจะรอข้าอยู่ในวังหลวงอย่างไรเล่า”
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้สวมชุดนางใน หากแต่สวมเสื้อเกราะ ใช้กระด้งปิดครรภ์ไว้ นางไม่คิดจะมาเข่นฆ่าศัตรูในสมรภูมิ กระนั้นก็ยังป้องกันตนเองให้แน่นหนาก่อนถึงกล้าขึ้นมาหาเขา
“อย่ากริ้วสิเพคะ” นางยิ้ม “หม่อมฉันมาส่งข่าว เมื่อคืนนี้มีขุนนางราชสำนักหนีไปเข้ากับอีกฝ่ายทั้งสิ้นสามสิบกว่าคน หม่อมฉันกับท่านอัครเสนาบดีกู้บันทึกทั้งชื่อแซ่และตำแหน่งไว้หมดแล้ว รอให้ฝ่าบาททรงจัดการเพคะ”
กู้เจาเป่ยบีบต้นแขนนางพลางสูดหายใจลึกๆ “เรื่องพวกนี้ทีหลังให้ผู้อื่นมาส่งข่าวก็ได้ เจ้ามาแล้วข้าเสียสมาธิ”
เสิ่นกุยเยี่ยนเอาแต่มองเขาเงียบๆ อยู่พักใหญ่ ถึงค่อยพยักหน้าน้อยๆ “เพคะ”
นางไม่คิดจะกลับเข้าวังหลวงแม้ท้องแก่ถึงแปดเดือนแล้ว นางอยากอยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นเขา เช่นนี้หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นางก็จะเข้าถึงตัวเขาได้ทันกาล…
ไม่มีผู้ใดมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะชนะในศึกสงคราม…นางกลัว
ราษฎรที่ยังตกค้างอยู่ในเมืองหลวงถูกเจ้าหน้าที่ทางการกวาดต้อนมารวมกันเพื่อดูแล ทว่าไม่รู้จะให้ไปอยู่ที่ใด เสิ่นกุยเยี่ยนจึงสั่งว่า “เก็บกวาดคุกหลวง เอาฟางปูพื้นเสียก็พอให้คนเข้าไปอยู่ได้จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เก็บกวาดจวนขุนนางที่หนีไปแล้วให้ราษฎรเข้าพักอาศัย”
ทั้งคุกหลวงและจวนขุนนางต่างสร้างไว้อย่างแข็งแรงมั่นคง หากข้าศึกตีเมืองเข้ามาได้ อย่างน้อยราษฎรที่พักอยู่ในทั้งสองที่ก็ไม่ถูกฆ่าฟันแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
“กุ้ยเฟยทรงพระเมตตายิ่งแล้ว”
พวกที่เหลือมีแต่เด็ก คนชรา และคนอ่อนแอ เสบียงในกองทัพเริ่มคับขันแล้ว พวกเขาไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ เรื่องเสบียงจึงเป็นปัญหาใหญ่
“ทูลฝ่าบาท เมืองข้างเคียงเริ่มส่งเสบียงมาให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เสบียงสำหรับไพร่พลมีเพียงพอแล้ว แต่ราษฎรในเมืองหลวง…” กู้เจาหนานที่สวมชุดเกราะยืนข้างฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “อาจมีให้ไม่เพียงพอ”
“ไม่ได้” กู้เจาเป่ยปฏิเสธเฉียบขาด “หากราษฎรในเมืองหลวงก่อจลาจลขึ้นมาจะน่ากลัวยิ่งกว่าทัพข้าศึกข้างนอกเสียอีก”
“แต่…” กู้เจาหนานแย้งอย่างอ่อนใจ “แค่สำหรับกองทัพก็เต็มกลืนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ