ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 169-170
หลังรบกันจบไปศึกหนึ่ง ในตอนที่เหวินโซ่วซานรีบรุดมาถึง อวี่เหวินฉางชิงก็ถอยทัพกลับพร้อมอาการบาดเจ็บ ทัพของเสิ่นกุยอู่เองก็บอบช้ำรุนแรงไม่แพ้กัน
เหวินโซ่วซานยังไม่ทันได้เอาเรื่อง แม่ทัพอวี่เหวินก็ชิงพูดอย่างฉุนๆ ขึ้นมาก่อน “ทหารแยกกันอยู่ไกล แล้วจะให้คำสั่งไปทั่วถึงได้อย่างไร อีกอย่างยามนี้สามทัพกระจายกันโอบล้อมทั้งเมืองหลวงไว้เชียวนะขอรับ คำสั่งเดิมเพิ่งถ่ายทอดมาเมื่อสี่ชั่วยามก่อนเท่านั้น เหตุใดพระอัยกาถึงได้เปลี่ยนใจไปมา เอาแน่เอานอนไม่ได้จนทัพข้าเสียหายสาหัสถึงเพียงนี้”
เสิ่นกุยอู่แสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อยเช่นกัน “ฟังคำสั่งก็ไม่ถูก ไม่ฟังคำสั่งก็ไม่ถูกอีก เช่นนี้แล้วแม่ทัพนายกองเช่นพวกเราควรปฏิบัติตัวเช่นไรกับคำสั่งของพระอัยกาดีเล่าขอรับ”
ถูกตัดหน้าพูดเสียอย่างนี้เหวินโซ่วซานจะตำหนิทั้งคู่ก็กระไรอยู่ จะว่าไปก็เป็นเพราะกองทัพศัตรูเล่นเล่ห์กล โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น อีกอย่างสองคนนี้ก็เป็นแม่ทัพที่เขาไว้วางใจมากที่สุดและมีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือ จำต้องเปลี่ยนเป็นปลอบโยนแทน
ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “ครานี้ข้าถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่นปั่นหัว ซ้ำกองทัพยังอยู่ไกลจากกันพอประมาณ เลยกลายเป็นช่องให้มันใช้ประโยชน์ หลังศึกครานี้ให้ระดมพลไปที่ประตูเมืองทิศใต้ ใช้ทัพใหญ่ร่วมแรงร่วมใจตีประตูหลักของเมืองหลวงให้แตก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีข้อผิดพลาดเรื่องถ่ายทอดคำสั่งอีกแล้ว”
“จะรวมพลหรือขอรับ” เสิ่นกุยอู่ขมวดคิ้ว “แต่หากทำเช่นนั้นอีกสามด้านของเมืองหลวงก็จะโล่ง หากมีทัพเสริมหรือมีเสบียงส่งมาช่วยจะทำเช่นไร”
“ไม่มีทัพเสริมหรอก” เหวินโซ่วซานตอบอย่างหนักแน่น “ฝ่ายเรามีกำลังทหารหลายแสนนาย เจ้าเด็กฮ่องเต้นั่นมีเพียงไม่กี่หมื่น ผู้ใดมีตาก็ต้องมองสถานการณ์ออกและไม่ช่วยมันรับมือกับข้าอย่างแน่นอน”
พระอัยกาเหวินผู้นี้กรำศึกในสมรภูมิมานานปี จึงไม่แปลกที่เมื่ออายุมากขึ้นจะเย่อหยิ่งทะนงตนและดูถูกกู้เจาเป่ย
เสิ่นกุยอู่ไม่ได้คัดค้านสิ่งใดอีก ฝ่ายอวี่เหวินฉางชิงเองก็ไม่ได้พูดอะไร การจัดทัพเพื่อมารวมพลของทัพทั้งสองต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะแล้วเสร็จ
สงครามใช้เวลา เสบียง และกำลังคนมากกว่าอะไรทั้งหมดเสมอ หากแต่เหวินโซ่วซานคิดว่าตนมีสิ่งเหล่านี้มากพอที่จะเสียไปได้ เขายึดทุกเมืองและมณฑลที่เคลื่อนทัพผ่าน ให้ส่งเสบียงมาคอยหนุนกองทัพ รอให้ปรับแต่งทัพใหญ่เสร็จเมื่อใดไพร่พลหลายแสนนายก็จะทรงอานุภาพเกินต้านทาน มีหรือยังต้องกลัวจะตีเมืองหลวงไม่แตก
การพักรบชั่วคราวคืนความสงบสุขสู่เมืองหลวง เสบียงกองทัพเตรียมไว้เพียงพอแล้ว ไพร่พลไม่หิวตายเด็ดขาด ทว่าเสบียงสำหรับราษฎรยังไร้ทางออก คนหนุ่มสาวที่พอมีแรงยังออกจากเมืองหลวงไปหาอาหารข้างนอกได้ ทว่าคนแก่มีแต่นั่งรอความตายเท่านั้น
“พระชายา” เป่าซั่นประคองเจ้านายอย่างเป็นห่วงใจแทบขาด “พระครรภ์แก่ออกอย่างนี้ หม่อมฉันเพียงมองยังกลัว อย่าได้เสด็จออกไปอีกเลยนะเพคะ”
“ข้าไม่ไว้ใจผู้อื่น ต้องไปดูด้วยตนเองถึงจะวางใจ” เสิ่นกุยเยี่ยนขึ้นนั่งรถหงส์ออกจากเมืองหลวงไปยังยุ้งฉางทางตอนเหนือของเมือง
เสบียงที่นางตุนไว้ก่อนพระอัยกาเหวินจะก่อกบฏอย่างเป็นทางการเกิดประโยชน์แล้ว ธัญพืชหลายหมื่นตั้นนี้เพียงพอให้คนแก่ที่ติดอยู่ในเมืองหลวงกินได้กว่าหนึ่งปี
การแจกอาหารโดยไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียวทำให้เมืองหลวงที่เงียบเป็นป่าช้ากลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกชาวบ้านมีโจ๊กกินถ้วนหน้า เสิ่นกุยเยี่ยนยังระดมพวกศิษย์ในสำนักวิชามาดูแลคนแก่และช่วยกู้เจาเป่ยเตรียมการป้องกันรับมือตามตรอกซอกซอยต่างๆ
แม้รักษาเมืองหลวงไว้ได้ไม่นานนักแต่ก็ต้องรักษา
“สวรรค์เบื้องบนโปรดจงเมตตา ปวงชนไพร่ฟ้า เลือดตากระเด็น!” บัณฑิตบางคนแค่นเสียงอย่างขมขื่นแกมเดือดดาล “ต่อให้พวกมันตีเมืองหลวงแตก คนไร้คุณธรรมเยี่ยงนั้นก็นั่งบัลลังก์มังกรไม่ได้หรอก!”
เสิ่นกุยเยี่ยนได้ยินเข้าก็ทอดถอนใจแล้วนั่งเอนร่างอยู่บนรถม้า จัดการดูแลราษฎรตามที่ต่างๆ ให้เรียบร้อย
พอรู้ว่าในเมืองมีเสบียงราษฎรที่หนีภัยสงครามออกไปก็กลับมาบางส่วน เสบียงในเมืองใกล้เคียงรอบๆ เมืองหลวงล้วนแต่ร่อยหรอ บัดนี้เยี่ยนกุ้ยเฟยกลับแจกอาหารโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน!
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าการแจกอาหารในเมืองหลวงสิ้นเปลืองเกินไปพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีกู้ประสานมือกล่าว “สู้เอามาเสริมเป็นเสบียงกองทัพดีกว่า ไพร่พลของฝ่ายเราจะได้ทำศึกดีขึ้น”
กู้เจาเป่ยลูบถุงเงินสีเขียวที่ห้อยอยู่ตรงเอวพลางหัวเราะเบาๆ “ท่านอัครเสนาบดี เสบียงพวกนั้นเยี่ยนกุ้ยเฟยซื้อมาด้วยทรัพย์ของตนเอง จะจัดการอย่างไรย่อมเป็นสิทธิ์ของนาง หากเรายึดมาจะไม่เผด็จการเกินไปหรือ”
“แต่…” อัครเสนาบดีกู้สังเกตประกายในดวงตาฮ่องเต้ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
หนึ่งเดือนให้หลังในที่สุดเสิ่นกุยเยี่ยนก็เลิกเคลื่อนไหวเพราะท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที นางได้แต่นอนอยู่ในตำหนักหย่งเหอ ฟังเสียงแตรสัญญาณสะท้านฟ้าสะเทือนดินข้างนอก
“พระชายา…” ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้เป่าซั่นถึงได้เจ้าน้ำตาเป็นพิเศษ แม้แต่เสียงที่เอ่ยออกมายังสั่นเครือ “วันนี้หม่อมฉันได้ยินมาว่าทัพใหญ่สามแสนนายบุกประชิดเมืองหลวง เกรงว่าตำหนักนี้จะรักษาไว้ไม่ได้เพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนปวดครรภ์ขึ้นมาเล็กน้อย นางสูดหายใจลึกๆ พลางบีบมือคนสนิท “ไม่เป็นไร หากรักษาไว้ไม่ได้ ฝ่าบาทเสด็จที่ใด พวกเราก็ไปที่นั่น ต่อให้เป็นยมโลกก็ตาม”
สงสารก็แต่บุตรในครรภ์ของข้าเท่านั้น
ทัพใหญ่สามแสนนายทรงอานุภาพมหาศาล ไพร่พลมืดฟ้ามัวดิน มากเสียจนจะฆ่าเท่าไรก็ฆ่าไม่หมด จู่ๆ เหวินโซ่วซานก็ถ่ายทอดคำสั่งสายฟ้าแลบให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านลอบปะปนเข้าเมืองหลวง ฉวยโอกาสที่ทัพใหญ่ยกมาตีเปิดประตูเมืองให้
กลยุทธ์นี้อยู่เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ตามแผนเดิมหากต้านศึกวันนี้ไม่อยู่กู้เจาเป่ยจะพาคนถอยร่นไปหลีโจว ที่นั่นมีกงชินอ๋องที่ได้ส่งจดหมายมาแจ้งว่ายินดีให้ความช่วยเหลือ แม้จะต้องเสียเมืองหลวงไปชั่วคราว แต่ตราบใดที่เขาเขียวยังคงอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืนเผา
ทว่าเหวินโซ่วซานบุกโจมตีเร็วเหลือเกิน กระทั่งอวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์กลางคันแล้วก็ยังทำได้เพียงนำไพร่พลแปดหมื่นนายอารักขาฮ่องเต้หนีออกจากเมืองหลวงเท่านั้น
“ช้าก่อน เยี่ยนเอ๋อร์…” กู้เจาเป่ยขมวดคิ้วทำท่าจะหันกลับไป แต่ถูกแม่ทัพหนุ่มรั้งไว้
“เยี่ยนกุ้ยเฟยอยู่ในเมืองหลวงอาจจะทรงปลอดภัย แต่หากฝ่าบาทยังประทับอยู่มีแต่จะจบสิ้นเท่านั้น ไม่มีเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”