บทที่ 171 ต้องใช้เวลา
แผ่นดินใช่จะเปลี่ยนกันได้เพียงชั่วข้ามคืน ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเสิ่นกุยเยี่ยนอยู่เดือนครบกำหนดอากาศในเมืองหลวงก็หนาวแล้ว
พระอัยกาเหวินยึดอำนาจการดูแลงานราชกิจในเมืองหลวง ตั้งตนเป็นอ๋องพิทักษ์แผ่นดิน ยกรัชทายาทรักษาการมาอ้างเพื่อให้เมืองและมณฑลโดยรอบสวามิภักดิ์ แล้วใช้เมืองหลวงเป็นฐานที่มั่นจัดแต่งทัพใหม่ เตรียมเคลื่อนพลไปหลีโจว
“แผ่นดินนี้ได้มาเพราะพวกเจ้าช่วยข้าทำสงคราม” เหวินโซ่วซานมองกลุ่มคนสนิทด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะทำตามสัญญาเสียที”
ทั้งตำแหน่งสำคัญในราชสำนักและแก้วแหวนเงินทอง อ๋องพิทักษ์แผ่นดินรู้วิธีมัดใจคน ทั้งยังรู้ด้วยว่าต้องทำอย่างไรคนเหล่านี้ถึงจะทำงานถวายชีวิตให้ตนเองต่อ
เพียงแต่…เมื่อหันไปมองเสิ่นกุยอู่ เขาก็กระแอมเบาๆ “ตามข้ามาคุยกันตามลำพัง”
พอเดินตามเหวินโซ่วซานไปยังถนนวังหลวงอันปลอดคนก็ได้ยินฝ่ายนั้นทอดถอนใจ “กุยอู่เอ๋ย ข้าได้ประจักษ์ความจงรักภักดีของเจ้าแล้ว เจ้าคนขลาดอวี่เหวินทรยศแล้วหนีไป แต่เจ้ากลับอยู่กับข้าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ รับรองว่าข้าจะต้องตอบแทนเจ้าเป็นอย่างดี”
“เป็นสิ่งที่ผู้น้อยควรทำอยู่แล้วขอรับ” เสิ่นกุยอู่ประสานมือตอบ
รอยยิ้มของเหวินโซ่วซานค่อนข้างเจื่อนขณะมองเขา “เดิมทีข้ารับปากไว้ว่าหากตีเมืองหลวงสำเร็จจะฆ่าคนสกุลเสิ่นล้างตระกูลเพื่อชะล้างความคั่งแค้นในใจเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ” เสิ่นกุยอู่หลุบตาลง “สกุลเสิ่นย่ำยีพวกเราแม่ลูก ซ้ำยังทำให้มารดาบังเกิดเกล้าของผู้น้อยตาย ผู้น้อยแค้นจนอยากจับพวกมันมาสับเป็นชิ้นๆ!”
โทสะของคนพูดแรงกล้าจนสัมผัสได้ เหวินโซ่วซานตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าเป็นคนที่สามารถทำการใหญ่ได้ ข้าเองก็ให้ความสำคัญแก่เจ้า เพียงแต่สกุลเสิ่น…เยี่ยนกุ้ยเฟยเป็นคนสกุลเสิ่น ตัวสกุลเสิ่นเองก็พอมีอำนาจในเมืองหลวงอยู่บ้าง รากฐานของพวกเรายังไม่มั่นคงนัก จะทำร้ายจิตใจเยี่ยนกุ้ยเฟยก็ไม่ได้เสียด้วย เรื่องนี้…”
คนเช่นเสิ่นซื่อชิงนั้นแปรพักตร์ได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับสนิทสนมกับขุนนางในราชสำนักเป็นจำนวนมาก ซ้ำยังเคยได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นจงจวินโหว ในเมื่อยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา เขาย่อมทำใจฆ่าทิ้งทันทีไม่ได้ เก็บไว้จะเป็นประโยชน์มากกว่า
เสิ่นกุยอู่เข้าใจความนัยของอีกฝ่าย
เวลานี้เหวินโซ่วซานยังไม่อยากแตะต้องสกุลเสิ่น เพราะติดที่เยี่ยนเอ๋อร์และอำนาจของสกุลเสิ่นนี่เอง
เขาเพิ่งเข้าใจในตอนนี้ว่าเหตุใดกู้เจาเป่ยถึงได้ยืนกรานจะส่งเสริมสกุลเสิ่นนัก
“เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้น้อยจะทำลายแผนการสำคัญของท่านอ๋องไม่ได้” เสิ่นกุยอู่กัดฟัน “ผู้น้อยทนได้ขอรับ”
“เจ้ารู้จักคิดถึงการใหญ่เช่นนี้ ข้าก็เบาใจ” เหวินโซ่วซานตบไหล่แม่ทัพหนุ่มแล้วเดินจากไปยิ้มๆ
เสิ่นกุยอู่ยังยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเหวินโซ่วซานลับสายตาไปจนไม่เห็นเงาแล้วถึงค่อยพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ขุนนางจำนวนไม่น้อยยังอยู่ในเมืองหลวง ที่หนีไปมีเพียงฮ่องเต้ อวี่เหวินฉางชิง และแม่ทัพนายกองบางส่วน ขุนนางบุ๋นอ่อนแอ ไม่นานก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเหวินโซ่วซาน ใช้เวลาเพียงสองเดือนเมืองหลวงก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างที่ควรเป็น
และภายในสองเดือนนี้เองที่เสิ่นกุยเยี่ยนวิ่งวุ่นติดต่อคนจำนวนมาก
เหวินโซ่วซานเป็นโจรกบฏ ราษฎรรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูด เสิ่นกุยเยี่ยนมักออกจากวังหลวงเสมอโดยที่เหวินโซ่วซานมิได้สนใจ เพราะหากนางไม่ไปที่โรงทานก็จะไปที่สุสานนอกเมือง ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้
เดิมทีเขายังระแวงสตรีผู้นี้อยู่บ้าง แต่พอผ่านไปนานเข้าก็คิดว่าสตรีหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ที่พึ่งพิงนางหนึ่งย่อมสร้างปัญหาใหญ่ไม่ได้ เขาจึงวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมกองทัพไปหลีโจว เพียงให้เสิ่นกุยอู่ส่งคนไปตามดูเสิ่นกุยเยี่ยนไว้สักหน่อยเท่านั้น
เสิ่นกุยอู่ไปดูด้วยตนเอง โดยไปสุสานฝังรวมที่นอกเมืองกับนาง
สงครามครั้งใหญ่ทำให้มีคนเจ็บคนตายนับไม่ถ้วน ตั้งป้ายหลุมศพให้ไม่สะดวก ได้แต่จับศพมาฝังรวมกันจนเป็นเนินดินขึ้นมา
เสิ่นกุยเยี่ยนยืนหน้าเนินดินด้วยสีหน้าอิดโรย ทว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ยังสะอาดเอี่ยมเรียบร้อยด้วยเพราะวันนี้นางมีนัด
กู้เจาตงรีบรุดมาหา เขายังอยู่ในเมืองหลวงและถูกเหวินโซ่วซานดึงเข้าเป็นพวก แต่ลดตำแหน่งให้เป็นขุนนางจัดการกรมทหาร พอได้รับจดหมายจากเสิ่นกุยเยี่ยนก็รีบมาหาอย่างเร่งร้อน
“เยี่ยนเอ๋อร์!”
ทั้งที่ให้กำเนิดองค์ชายแต่กลับถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งไว้ในเมืองหลวง กู้เจาตงปวดใจเหลือแสนเมื่อได้ยินข่าว ทว่าไม่มีโอกาสได้พบกันเสียที ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสแล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้างามซูบซีดจนแทบไม่เหลือเนื้อนวล แต่นัยน์ตายังสุกใสเป็นประกายดังเดิม “ใต้เท้ากู้”
กู้เจาตงเข้ามายืนตรงหน้านาง อยากแสนอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส ทว่าเสิ่นกุยอู่ที่อยู่ข้างๆ มาขวางไว้
“กระหม่อมเสียมารยาทไป ไม่ทราบว่าพระชายาทรงมีสิ่งใดจะบัญชา” กู้เจาตงประสานมือถาม
“ข้าเป็นสตรีไม่อาจทำการใหญ่ จึงได้แต่มาขอร้องใต้เท้าให้นึกถึงบ้านเมืองให้มากด้วย” นางตอบเบาๆ
ได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่าที่แท้วันนี้นางไม่ได้นัดเขามาเจอกันโดยเฉพาะ น่ากลัวว่าก่อนเขาจะมาถึงคงนัดเจอคนในราชสำนักมาไม่น้อยแล้ว ก่อนอัครเสนาบดีกู้จะจากไปได้สั่งให้เขาแสร้งทำทีเป็นสวามิภักดิ์ กบดานรออยู่ในเมืองหลวง