เสิ่นกุยเยี่ยนเองก็เช่นกันใช่หรือไม่
“กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” เขาค้อมกายคำนับ ทว่าอดเงยหน้าขึ้นมองนางอีกไม่ได้ “พระชายาประทับอยู่ในวังหลวง ทรงเลี้ยงดูองค์ชายตามลำพังพระองค์เดียว จะทรงเป็นอันตรายหรือไม่”
“ไม่หรอก” คราวนี้เสิ่นกุยอู่ตอบแทนน้องสาว “ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้น้อยจะถวายอารักขาพระชายาเป็นอย่างดี”
ถึงอย่างไรเขาก็รักน้องสาวแท้ๆ เป็นที่สุด
กู้เจาตงยังอยากพูดอะไรต่อ หากแต่เสิ่นกุยเยี่ยนค้อมศีรษะก่อนบอก “ข้าควรกลับเข้าวังหลวงแล้ว จดหมายฉบับนี้ไว้ใต้เท้ากลับไปค่อยอ่านก็ได้ ขอตัวก่อน”
จดหมายไม่ระบุนามฉบับหนึ่งถูกยื่นมาให้ กู้เจาตงเอื้อมมือไปรับมาแล้วมองเสิ่นกุยเยี่ยนขึ้นรถม้า หายลับไปจากสายตาเขาอีกครั้ง
เมื่อเมืองหลวงเข้าที่เข้าทางเหวินโซ่วซานก็เตรียมยกทัพไปหลีโจว
มีคนเตือนว่าเขาไม่ควรออกรบด้วยตนเอง ทว่าชายสูงวัยอายุกว่าครึ่งร้อยผู้นี้กลับแค่นหัวเราะ “จะให้ข้ารอฟังข่าวการศึกจากพวกเจ้าอยู่ในวังหลวง? เช่นนั้นไม่สบายใจ ข้าออกรบด้วยตนเองดีกว่า จะได้ชิงชัยในศึกเดียว!”
“เช่นนั้นทางราชสำนักจะทำเช่นไรเล่าขอรับ” ราชบัณฑิตฟู่ขมวดคิ้วถาม
เหวินโซ่วซานมองเสิ่นกุยอู่ “ให้เขาคอยคุม เจ้าคนหนุ่มนี่ร่วมศึกกับข้ามาตลอดทาง ข้าไว้ใจเขา!”
ที่พยายามมานานก็เพราะต้องการประโยคแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจเพียงประโยคเดียวนี่ล่ะ เสิ่นกุยอู่คุกเข่ารับคำสั่ง รับปากเหวินโซ่วซานว่าจะคอยคุมเมืองหลวงที่อยู่ข้างหลังให้
ฮ่องเต้ไม่มีทีท่าจะกลับเมืองหลวง เลยต้องยกทัพใหญ่ไป ‘เชิญเสด็จ’ เท่านั้น
เหวินโซ่วซานนำทัพเคลื่อนพลไปหลีโจว ทิ้งเมืองหลวงให้เสิ่นกุยอู่ดูแลชั่วคราว แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรเสิ่นกุยเยี่ยนค่อยๆ กลายเป็นคนตรวจอ่านฎีกาที่เหล่าขุนนางส่งขึ้นไป แรกเริ่มเดิมทียังมีคนคัดค้าน ทว่าสิ่งที่นางตรวจแก้กลับมาไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์หรือคำแนะนำล้วนเหมาะสมทุกประการ
ขุนนางบุ๋นจำนวนไม่น้อยในราชสำนักสนับสนุนให้เสิ่นกุยเยี่ยนจัดการงานราชกิจแทนรัชทายาทรักษาการ เสิ่นกุยอู่เองก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เมื่อเหวินโซ่วซานส่งจดหมายมาถามก็ตอบกลับไปว่าเมืองหลวงสงบเรียบร้อยดี
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งบัลลังก์มังกรทั้งที่สวมอาภรณ์กุ้ยเฟย มือหนึ่งอุ้มโอรส อีกมือหนึ่งตรวจอ่านฎีกา
กู้เจาตงและคนอื่นๆ ได้รับการส่งเสริมจากนางให้ขึ้นมาเป็นเสมือนมือซ้ายขวา คณะของอาจารย์โจวเจรจาโน้มน้าวเหล่าชินอ๋องเสร็จแล้วก็กลับมาอยู่ข้างกายนางเช่นกัน
ราชบัณฑิตฟู่เฝ้ามองสถานการณ์ในราชสำนักแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกที จึงพยายามส่งจดหมายไปแจ้งเหวินโซ่วซานที่แนวหน้า
แต่จดหมายยังไม่ทันได้ส่งออกไปก็ตกอยู่ในมือเสิ่นกุยอู่เสียก่อน
ส่วนราชบัณฑิตฟู่สิ้นใจบนเตียงในจวนของตนเอง ได้ยินว่าเรียกนางคณิกามาที่จวนแล้วเริงโลกีย์เกินขีดจำกัด
“มิน่าเล่าเขาถึงดูถูกสตรี คอยพูดอยู่เรื่อยว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยไม่ควรก้าวก่ายการเมือง” ขุนนางราชสำนักพากันหัวเราะขบขัน “ดูเพียงภายนอกไม่ได้จริงๆ อายุตั้งปูนนี้เข้าไปแล้ว…”
เสิ่นกุยเยี่ยนมีวาทศิลป์เป็นเลิศ ทุกคนเพียงเห็นพ้องว่าสตรีผู้นี้ค่อนข้างทะเยอทะยาน ย่อมคิดไม่ถึงว่านางจะทำอะไรได้บ้างเมื่ออยู่ต่อหน้าอาชาเหล็กของเหวินโซ่วซาน