ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 171-173
บทที่ 172 ข้ารอท่าน
“หากเยี่ยนกุ้ยเฟยยังทำตัวเป็นแม่ไก่ริขันปลุกเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะได้กุมอำนาจส่วนใหญ่ในราชสำนัก” คนที่มีสติรู้คิดเตือนเสิ่นกุยอู่
เสิ่นกุยอู่มีสติกว่าผู้ใดทั้งหมด แต่สถานการณ์เช่นนี้ล่ะที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ ทำสงครามเลือดตาแทบกระเด็นในสนามรบมานานปี ตอนนี้อุตส่าห์ได้อยู่สบายในเมืองหลวงอันเฟื่องฟู พี่รองสกุลเสิ่นจึงขยันไปเที่ยวหอคณิกาแบบสุดตัว กระทั่งพระราชลัญจกรหยกก็ทิ้งไว้ให้เสิ่นกุยเยี่ยน
เหวินโซ่วซานนำทัพใหญ่สองแสนนายไปกรำศึกในหลีโจว ผ่านไปยังไม่ทันครึ่งเดือนก็เหลือเพียงแสนนาย เสิ่นกุยเยี่ยนส่งกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงไปช่วยหนุนอย่างกระตือรือร้น คอยส่งเสบียงให้มิได้ขาดและสั่งทหารซ้อมรบอยู่เสมอ มิขาดตกบกพร่องแม้แต่อย่างเดียว
ดังนั้นแม้จะมีคนคอยเป่าหูเหวินโซ่วซาน เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ ขอเพียงช่วยงานสำคัญของเขาได้จะบุรุษหรือสตรีก็เหมือนกัน
ยามถือพระราชลัญจกรหยก เสิ่นกุยเยี่ยนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางสุขุม เยือกเย็น จัดการเรื่องต่างๆ ได้เป็นขั้นเป็นตอน หากไม่เพราะใบหน้าดวงนั้นทุกคนคงนึกว่านางเป็นบุรุษไปแล้ว
มีเพียงเป่าซั่นที่สงสารจนปวดใจ นับแต่เมืองหลวงถูกตีแตกเจ้านายของนางก็พูดน้อยลงมาก ตกกลางคืนยามอุ้มทารกที่ร้องไห้โยเยก็เพียงแค่เดินไปเดินมา โยกไกวลูกน้อยเงียบๆ อยู่ในห้องเท่านั้น
เมื่อไรฝ่าบาทถึงจะเสด็จกลับมาเสียที
ฤดูใบไม้ผลิหวนคืนมาอีกครา เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นไปเห็นยอดอ่อนของต้นหลิวเหนือกำแพงวังหลวงแล้วมองเหม่อ
“พระชายา องค์ชายทรงดูแปลกๆ อย่างไรชอบกลนะเพคะ” เป่าซั่นวางองค์ชายน้อยวัยหกเดือนลงบนตั่งนุ่ม ประหลาดนักที่ขาของเขาไม่ขยับเลยสักนิด
แววตาของเสิ่นกุยเยี่ยนไหววูบ แล้วตามหมอหลวงมาตรวจอาการ
หัวหน้าสำนักหมอหลวงกัวรายงาน “ทูลพระชายา พระเพลาขององค์ชาย…เหมือนจะเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
อะไรคือ ‘เคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก’! เสิ่นกุยเยี่ยนถลึงตามองอีกฝ่าย หัวหน้าสำนักหมอหลวงกัวถูกจ้องจนลนลาน รีบทิ้งตัวลงคุกเข่า “น่าจะเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์พระมารดา กระดูกพระเพลาขององค์ชายไม่ตรง ไม่ทราบว่าเมื่อทรงเจริญชันษาขึ้นอีกนิดจะดำเนินได้เป็นปกติหรือไม่”
หมอไม่เอาไหน!
เสิ่นกุยเยี่ยนรั้งชายกระโปรงพลางวิ่งไปหาหมอหลวงหลิวที่เคยทำงานในจวนสกุลกู้ วิชาแพทย์ของเขาทำให้นางอุ่นใจมากกว่า
หมอหลวงหลิวเข้าวังหลวงแล้วจับองค์ชายน้อยพลิกไปพลิกมาอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็บอกยิ้มๆ “พระเพลาผิดรูปพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่เป็นไร บางทีโตแล้วก็จะหายเอง”
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้าและยิ้มออกในที่สุด นางอุ้มลูกน้อยขึ้นมา มองใบหน้าที่มีประพิมพ์ประพายเหมือนกู้เจาเป่ยขึ้นเรื่อยๆ ทุกทีแล้วจุมพิตดวงหน้าเล็กๆ ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
หมอหลวงหลิวทำท่าจะลุกเดินออกไป แต่ถูกเป่าซั่นขวางไว้ “ท่านหมออยู่ในวังหลวงเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวนี้กุ้ยเฟยพระอาการไม่สู้ดีนัก มักประชวรอยู่บ่อยครั้ง จำเป็นต้องมีคนดูแล”
หมอหลวงหลิวกำสมุดบันทึกแน่นพลางหัวเราะแห้งๆ “ไม่ต้องหรอกกระมัง”
เป่าซั่นเองก็ยิ้มให้ก่อนจะผลักอีกฝ่ายเข้าไปในสำนักหมอหลวง แล้วแย่งสมุดในมือมาเปิดอ่าน
หน้ากระดาษที่บันทึกไว้ใหม่จั่วหัวว่า ‘องค์ชาย’ ถัดจากนั้นคืออาการ ‘กระดูกผิดรูป เป็นมาแต่กำเนิด’
เป่าซั่นนัยน์ตาแดงก่ำ
ดีว่าราชครูไปกับฮ่องเต้แล้ว หากยังอยู่ในเมืองหลวงล่ะก็เป่าซั่นจะลากมาซ้อมให้น่วมเลยทีเดียว ไหนว่าเจ้านายของนางเกิดมาพร้อมหยกหงส์ ชะตาชีวิตดีแต่กำเนิด มีดวงเป็นฮองเฮา มีโชคใหญ่เมื่ออายุยี่สิบอย่างไรเล่า ทั้งหมดนี้ไม่เกิดขึ้นเลยสักอย่างเดียว มีแต่ถูกสามีทอดทิ้ง บุตรที่เกิดมาก็พิการ!
นางแอบไปร้องไห้หลังเนินเขาจำลองอยู่นาน เมื่อเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วถึงค่อยกล้ากลับไปปรนนิบัติเจ้านาย
เสิ่นกุยเยี่ยนอุ้มองค์ชายโดยไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ได้แต่ใช้นิ้วแหย่บุตรเล่นเบาๆ ทารกน้อยน่าเอ็นดูเปล่งประกายราวกับผลึกแก้ว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับการหยอกเอินของนาง ยามนั้นแสงแดดด้านนอกส่องเข้ามาทาทาบเรือนผมของเสิ่นกุยเยี่ยน เป่าซั่นคิดอย่างใจลอย เหมือนจะเห็นสีขาวแซมอยู่ในเรือนผมดำขลับนั้นเลย
บางคนเกิดมาชาญสงคราม บางคนเกิดมาเชี่ยวเชิงอักษร นับแต่เสิ่นกุยเยี่ยนออกว่าราชการในท้องพระโรง เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างพบว่าสตรีผู้นี้วางกลยุทธ์การปกครองได้เก่งฉกาจยิ่ง
นางเฉียบขาดได้ยามต้องเฉียบขาด ตั้งทัณฑ์ทรมานสถานหนักสิบแปดประการ ถึงขั้นนำทัณฑ์จับมัดเสาโลหะเผาไฟที่ยกเลิกไปนานแล้วกลับมาใช้อีกครั้ง โดยให้ปฏิบัติแบบเดียวกันตั้งแต่ระดับบนลงไประดับล่าง หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิตโดยไม่ละเว้น
นางอารีได้ยามต้องอารี ปรับแก้การจัดเก็บภาษีการเกษตรเพื่อราษฎร ลดการเก็บภาษีลง สนับสนุนการทำไร่ทำนา ส่งเสริมแนวคิดราษฎรคือรากฐาน การเกษตรคือชีวิต
เนื่องจากมีเสิ่นกุยอู่หนุนหลัง ขุนนางใหญ่จำนวนมากในราชสำนักจึงสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อนาง มีบ้างที่วิจารณ์โจมตีว่าเสิ่นซื่อประพฤติผิดจรรยาสตรี ริอ่านก้าวก่ายการเมือง ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนก็ยังสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงมาสามปี
สามปีมานี้เหวินโซ่วซานถูกกู้เจาเป่ยรุกตีจนถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเคยคิดจะกลับมาตั้งหลักที่เมืองหลวง ทว่าแม้เสิ่นกุยเยี่ยนคอยสนับสนุนด้านเสบียงกับกำลังทหาร แต่กลับปิดประตูเมืองหลวงอย่างแน่นหนา ไม่ยอมให้เขากลับเข้ามา นางทำอะไรในเมืองหลวงบ้างใช่ว่าเหวินโซ่วซานจะไม่รู้ ทว่าด้านหน้ามีกู้เจาเป่ยรุกไล่มาติดๆ ด้านหลังมีเสิ่นกุยเยี่ยนคอยสนับสนุน จะให้เขาหันกลับไปตำหนิเสิ่นกุยเยี่ยนจนทำให้ตนเองสับสนได้อย่างไร
ดังนั้นเหวินโซ่วซานจึงจำต้องกลั้นใจรบต่อ
แผ่นดินตกอยู่ในกลียุค สามปีมานี้มีแต่ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ทุกคนรู้ดีว่าเมืองหลวงคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนสุดท้าย เพราะแม้กู้เจาเป่ยจะลอบโจมตียุ้งฉางของเหวินโซ่วซานในเจิ้งโจวและวางเพลิงเผาจนกินรัศมีไปสองหลี่ แต่ก็ไม่เคยเล่นงานเมืองหลวง เขาอยากกลับเมืองหลวง ติดที่ถูกเหวินโซ่วซานสกัดไว้อย่างแน่นหนา ทั้งคู่จึงได้แต่ประจันหน้าโรมรันกัน ไม่มีใครได้อยู่อย่างสงบสุขแม้แต่ฝ่ายเดียว
มีคนบอกว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะตั้งตนเป็นฮองเฮาเสียก็ได้ เหมือนอย่างที่เหวินโซ่วซานหน้าหนาตั้งตนเป็นอ๋องพิทักษ์แผ่นดิน เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาขึ้นนั่งว่าราชการจะไม่ยิ่งชอบธรรมกว่าหรือ
แต่เสิ่นกุยเยี่ยนมิได้ทำเช่นนั้น นางยังคงถูกเรียกว่า ‘เยี่ยนกุ้ยเฟย’ มาโดยตลอด และสวมชุดกระโปรงของสตรีตำหนักในนั่งบนบัลลังก์มังกร ยามตรวจอ่านฎีกาหาได้เกรี้ยวกราดดุดัน แต่เหมือนเด็กสาวที่กำลังทำงานเย็บปักถักร้อยมากกว่า พร้อมมีความหวังเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจว่าเมื่อคนผู้นั้นกลับมาจะเอ่ยชมว่านางทำได้ดีหรือไม่
การรอคอยครานี้ยาวนานถึงสามปี โอรสของนางยังคงไร้ชื่อมาโดยตลอด ได้แต่เรียกกันว่า ‘องค์ชายใหญ่’ ขุนนางเก่าแก่เคยเสนอนามให้มากมาย ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าอย่างหนักแน่นเรื่อยมา