ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 171-173 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 171-173

องค์ชายใหญ่ขาพิการ ทั้งที่อายุสามขวบแล้วแต่ต้องให้นางกำนัลหรือขันทีอุ้มไปที่ใดมาที่ใด เสิ่นกุยอู่ทำเก้าอี้รถเข็นจากไม้ขึ้นมาตัวหนึ่งใช้เข็นพาหลานออกไปที่อุทยานหลวงทุกวัน ด้วยกลัวว่าเด็กน้อยจะหดหู่ซึมเศร้าเพราะความพิการของตนเอง

แต่แน่ชัดว่าเสิ่นกุยอู่กังวลเกินไป

เพราะเสด็จแม่ของตนไม่ยอมพูดจา องค์ชายใหญ่จึงละเอียดอ่อนช่างใส่ใจแต่เด็ก แม้เดินเหินไม่ได้ก็ไม่โทษใครทั้งนั้น ได้แต่ถามท่านลุงด้วยความสงสัย “ทุกคนบอกว่าเสด็จแม่ไม่ได้ทรงเป็นใบ้ แล้วเหตุใดถึงไม่ตรัสอะไรเลยเล่า”

เสิ่นกุยอู่ลูบศีรษะเล็ก “ในอกเสด็จแม่ของพระองค์มีถ้อยคำมากมาย พระชายาทรงกำลังรอคอยใครคนหนึ่ง คนผู้นั้นกลับมาเมื่อไรก็จะพูดเอง”

องค์ชายน้อยเยาว์วัยฟังเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นขนาดใหญ่ มองดอกไม้ใบหญ้าในอุทยานหลวงเงียบๆ

“ทูลพระชายา กระหม่อมคิดว่าเวลานี้เมืองหลวงคึกคักเฟื่องฟู ชีวิตราษฎรเรียบง่ายเป็นสุข ถือเป็นสัญญาณดีที่หาได้ยากพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์โจวผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์ยืนข้างกายเสิ่นกุยเยี่ยน “ในเมื่อสถานการณ์อยู่ตัวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งกำลังพลและเสบียงไปช่วยหนุนกองทัพอีกต่อไป”

คำว่า ‘อยู่ตัว’ หมายถึงคนที่อยากรบถวายชีวิตให้เหวินโซ่วซานลดจำนวนจนแทบไม่เหลือแล้ว สามปีแห่งชีวิตสุขสงบมากพอที่จะลบเลือนความกระหายชัยชนะในใจคนทิ้งไปได้

กองทัพของเหวินโซ่วซานบอบช้ำอย่างสาหัส สุขภาพของเขาก็ย่ำแย่ลงไม่น้อยหลังกรำศึกต่อเนื่องมานานปี ขอเพียงปราชัยอีกแค่ครั้งเดียวภูผาใหญ่แห่งสกุลเหวินก็จะทลายครืนชนิดที่ไม่มีทางยืนหยัดขึ้นมาได้อีกเลย

เสิ่นกุยเยี่ยนเอี้ยวตัวไปมองพระอาจารย์โจวนิ่งๆ สักพักความรู้สึกในดวงตาก็ไหวระริก สะท้อนถ้อยคำที่อยากเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน

แล้วเขาเล่า

“ช่วงหนึ่งปีมานี้ฮ่องเต้ทรงใช้กำลังทหารจากกองทัพของไหวหนานกับดินแดนที่เสียไปแล้วแม่ทัพอวี่เหวินตีคืนมาได้ จุดสำคัญที่สุดในเวลานี้เหลือเพียงเมืองหลวงเท่านั้น” พระอาจารย์โจวตอบ “ขอเพียงทรงได้รับชัยชนะในสมรภูมิเมืองจิ้งเจียง การจะเสด็จกลับมายึดเมืองหลวงคืนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ดวงเนตรงามเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย เสิ่นกุยเยี่ยนจับพู่กันขึ้นเขียนพระราชโองการ…

 

ดึงทัพหนุนกลับมารักษาเมืองหลวงอย่างแข็งขัน

 

นางวางพู่กันลงแล้วรั้งชายกระโปรงวิ่งไปยังตำหนักใน ลัดเลาะตามเฉลียงทางเดินต่างๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าโอรสของตน ใบหน้าสว่างไสวไปด้วยรอยยิ้ม

“เหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ทรงกันแสงอีกแล้วเล่าพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายตัวกะจ้อยร่อยเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอจนใกล้จะหยาดลงมาเต็มทีของมารดา

เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าแล้วกอดร่างเล็กๆ ของบุตรเอาไว้แน่น

 

กู้เจาเป่ยยืนมองไปทางเมืองหลวงจากบนป้อมปราการ ความคิดล่องลอยไปไกล

เขาซูบผอมกว่าแต่ก่อนไม่น้อย สามปีมานี้ไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ จากเมืองหลวง ครั้นจะส่งจดหมายไปก็เกรงจะทำให้เยี่ยนเอ๋อร์เดือดร้อน ตอนนั้นเขาทิ้งนางไว้ในเมืองหลวงโดยไม่ทันได้อธิบายใดๆ แม้แต่คำเดียว นางคงจะโกรธแค้นชิงชังเขามากกระมัง

ทุกคราที่คิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์อาจไม่ยอมอภัยให้เขา หรือที่ร้ายกว่านั้นอาจลืมเขาไปแล้ว เรี่ยวแรงในร่างกายก็เหมือนจะเหือดหายไปทั้งตัว

“ฝ่าบาท” จุยอวิ๋นประคองเจ้านายไว้ มองความสูงของป้อมปราการแล้วเม้มปาก “ประทับยืนให้มั่นคงสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ อีกเพียงนิดเดียวแล้ว”

กู้เจาเป่ยหันมาถามคนสนิทเบาๆ “จุยอวิ๋น เจ้าไม่กลัวเลยหรือ”

อีกฝ่ายฉงน “กลัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“กลัวว่าเมื่อพวกเรากลับไป เป่าซั่นจะออกเรือนกับผู้อื่นไปแล้ว”

จุยอวิ๋นหน้าซีดเป็นกระดาษ

เวลาสามปีนานพอให้เกิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย คำนวณจากอายุเป่าซั่นก็น่าจะใกล้สิบแปดแล้ว เพราะนางอ่อนกว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยเพียงสองปี

การจากมาอย่างฉุกละหุกในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด เดิมทีฮ่องเต้ตั้งใจจะยึดเมืองหลวงไว้อย่างเหนียวแน่น กลับกลายเป็นว่ามีคนเปิดประตูเมืองให้ข้าศึก พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวโดยสิ้นเชิง กระทั่งจะวกกลับวังหลวงก็ยังไม่มีเวลา ต้องหนีออกมาทางประตูเมืองทิศตะวันตก

มีเวลาให้หนีเพียงน้อยนิดเท่านั้น ซ้ำยังต้องให้อวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์กลางคันแลกกับการสูญเสียไพร่พลไปมากมาย หากตอนนั้นฮ่องเต้ย้อนกลับไปรับเยี่ยนกุ้ยเฟยที่วังหลวง นอกจากจะหนีไม่รอดเลยสักคนเดียว ทหารในกองทัพทุกตำแหน่งก็จะผิดหวัง เพราะคนที่มัวแต่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จะปกครองแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นได้อย่างไร

ฮ่องเต้มิได้ทำสิ่งใดผิด ตัวเขาเองก็มิได้ทำสิ่งใดผิด แต่เหตุใดตอนนี้ถึงได้นึกเสียใจภายหลังก็ไม่รู้

จุยอวิ๋นไม่ได้ตอบคำถามผู้เป็นนาย ได้แต่ยืนเหม่ออยู่บนป้อมปราการตามฮ่องเต้ไปอีกคน ร่างโงนเงนไปมาเหมือนเจียนจะล้มเต็มที

 

กองทัพไม่ว่าตำแหน่งใหญ่หรือเล็กล้วนบอบช้ำสาหัส เหวินโซ่วซานเป็นตาแก่ที่ทั้งหัวแข็งและหัวโบราณ ศึกสุดท้ายแม้จะรบกันอยู่เดือนกว่า ทว่ากู้เจาเป่ยรู้จักใช้กำลังทหารเป็นเลิศ เข้ากันได้ดีกับอวี่เหวินฉางชิง ฝ่ายพวกเขาสูญเสียไพร่พลไปไม่มากนัก แต่กลับสามารถไล่ตีฝ่ายตรงข้ามจนพ่ายแพ้ถอยร่นไปที่เมืองหลวง

“ตาม!” ฮ่องเต้สวมชุดเกราะบัญชาการรบบนม้าศึก

กลยุทธ์ไล่ต้อนศัตรูให้จนมุมนี้ผู้ใดก็รู้ เพียงแต่ครานี้พวกเขามีฮ่องเต้นำทัพ ไล่ติดตามข้าศึกมาตลอดทางร่วมหลายร้อยหลี่

เมื่อเหวินโซ่วซานกลับถึงเมืองหลวงกลับพบว่าประตูเมืองไม่เปิดรับตน

“บัดซบ!” เหวินโซ่วซานที่บัดนี้ผมหงอกขาวไอโขลก “ข้าพิชิตเมืองหลวงมาได้ เรื่องอะไรไม่ยอมให้ข้าเข้าไป เสิ่นกุยอู่เล่า”

คนสนิทรายงาน “เห็นว่าท่านแม่ทัพเสิ่นเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอคณิกา ไม่สนใจความเป็นไปของโลกภายนอก ทุกอย่างในเมืองหลวงจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยนกุ้ยเฟยขอรับ”

เสร็จกัน ออกไปเพียงครั้งเดียว ฝ่ายตรงข้ามก็เปลี่ยนกุญแจไม่ให้ข้าเข้าบ้านตนเองเสียแล้ว!

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com