บทที่ 173 เมืองหลวงไม่มีที่สำหรับกองทัพสกุลเหวิน
ข้างหน้าไม่ให้เข้า ข้างหลังยังมีกองทัพไล่ตามมา เหวินโซ่วซานออกคำสั่งด้วยความเดือดดาลให้ตีเมืองหลวงให้แตก
เสิ่นกุยเยี่ยนเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง หากเสิ่นกุยอู่เอาแต่สำมะเลเทเมา นางที่เป็นสตรีตัวคนเดียวจะรักษาเมืองหลวงไว้ได้อย่างไร ขอเพียงเปิดประตูเมืองหลวงเข้าไปให้ได้ ถ้ากู้เจาเป่ยยังอยากตามเขาต่อก็ต้องตีเมืองหลวงซ้ำอีกครั้ง
แม้จะคิดไว้อย่างนั้น แต่หลังจากพยายามนำทัพตีเมืองอยู่ครั้งสองครั้งเหวินโซ่วซานก็พบว่าเมืองหลวงมีกองทหารรักษาการณ์มากล้น อาวุธยุทโธปกรณ์ก็เป็นของชั้นเลิศ ไม่อาจตีให้แตกได้ภายในเวลาอันสั้น!
เสิ่นกุยเยี่ยนยืนบนกำแพงเมือง มองทั้งคนทั้งม้าในกองทัพที่อลหม่านอึกทึกอยู่เบื้องล่าง เสิ่นกุยอู่ที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้นเบาๆ “เวลานี้กองทัพสกุลเหวินเหลือไพร่พลเพียงสองแสนนายเท่านั้น พวกเราสามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ถึงครึ่งเดือน”
“ไม่ต้องถึงครึ่งเดือนหรอก” ในที่สุดนางก็เอ่ยวาจา น้ำเสียงแหบพร่าแตกไม่ลื่นไหลนัก “พวกเขาไม่มีเวลาตีเมืองอีกครั้งแล้ว กองทัพข้างหลังไล่กระชั้นเข้ามาทุกที”
ครานี้กู้เจาเป่ยยกทัพไล่ตามมาติดๆ ระยะเดินทัพห่างกันไม่ถึงห้าวันเท่านั้น หากเหวินโซ่วซานยังมัวแต่ชักช้าย่อมถูกปิดล้อมไว้ตรงชานเมือง
พระอัยกาเหวินเองก็ตระหนักในข้อนี้ ดังนั้นหลังจากพยายามตีเมืองครั้งล่าสุดเขาจึงคิดจะถอนทัพ
“เปิดประตูเมือง” เสิ่นกุยเยี่ยนสั่งเบาๆ
พี่ชายเลิกคิ้ว “พระชายา หากเปิดประตูเมืองมิเท่ากับปล่อยให้เหวินโซ่วซานเข้ายึดเมืองหลวงอีกครั้งหรือ”
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “ท่านส่งคนไปบอกเขาว่าข้ายอมจำนนแล้ว เมืองหลวงมีที่ให้ทหารปักหลักตั้งทัพได้หนึ่งหมื่นนาย พวกที่เหลือต้องตั้งค่ายกันตรงชานเมือง”
หมายความว่าอย่างไร ยังไม่ต้องพูดว่าเหวินโซ่วซานจะยอมหรือไม่ ต่อให้ยอมอีกฝ่ายจะนำทหารเพียงหมื่นนายเข้าเมืองหลวงแต่โดยดีหรือ
ทว่าสามปีที่ผ่านมาเสิ่นกุยเยี่ยนไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เสิ่นกุยอู่ลังเลอยู่สักพักก็เด็ดดอกไม้ริมทางมาปลิดกลีบทิ้งทีละกลีบ
“เชื่อ…ไม่เชื่อ…หรือจะเชื่อดี…”
กลีบดอกไม้ถูกดึงทิ้งจนหมด เสิ่นกุยอู่มาที่ด้านล่างกำแพงเมืองแล้วเรียกคนมาสั่ง “ออกจากเมืองไปเจรจาขอสงบศึก”
กองทัพที่ไล่ตามมาข้างหลังแทบหายใจรดต้นคอแล้ว เมื่อเหวินโซ่วซานได้รับข้อความจากเสิ่นกุยเยี่ยนก็รู้สึกตกที่นั่งลำบาก ยังไม่อาจตัดสินใจ ครั้นจะถอนทัพหนีไปทางเหนือแล้วจะหนีไปได้ถึงเมื่อใด บัดนี้ไพร่พลเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากการเดินทัพไกล หากยังไปต่อทหารจะยิ่งบอบช้ำ แต่ครั้นจะตอบรับข้อเสนอของเสิ่นกุยเยี่ยนในยามนี้ การเข้าเมืองก็จะล่าช้าลง และเป็นไปได้มากว่าจะถูกทัพหลวงของฮ่องเต้ไล่ตามมาทัน
ไม่ว่าเลือกทางใดก็เสี่ยงทั้งสิ้น เสิ่นกุยเยี่ยนเจ้าเล่ห์นัก สงบศึกตอนใดไม่สงบศึก จงใจปล่อยให้เขาเสียเวลาอยู่หลายวันแล้วเลือกเจรจาสงบศึกในจังหวะที่เขากำลังจะถอนทัพพอดี
หลังตรึกตรองอยู่นานเหวินโซ่วซานก็ตอบกลับไป “ตอบรับนาง เมื่อประตูเมืองหลวงเปิดออกเมื่อใด ทหารทุกนายจงฟังคำสั่งข้า ให้ทำเหมือนตีเมืองหลวง บุกทะลวงเข้าไปเลย”
“ขอรับ” แม่ทัพรับคำสั่งแล้วจากไป
‘แอ๊ด…’ เมื่อประตูเมืองหลวงเปิดออก คนกว่าร้อยชีวิตกำลังเข็นรถบรรทุกก้อนหินสองก้อนซึ่งใหญ่โตจนแทบจะทับรถไม้พัง เมื่อเคลื่อนก้อนหินไปไว้หลังประตูเมืองอย่างลำบากเรียบร้อยแล้วก็ทำลายรถไม้ ปล่อยให้หินยักษ์สองก้อนคาอยู่หลังประตูเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ประตูเมืองจะเปิดก็แง้มออกเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าไพร่พลในกองทัพจะรีบร้อนเพียงใดก็มีที่ว่างให้เข้ามาได้ครั้งละสองคนเท่านั้น
เสิ่นกุยเยี่ยนกลับไปรอในวังหลวง นางคำนวณไว้ หากกองทัพสองแสนนายนี้จะเคลื่อนพลผ่านประตูเมืองหลวงที่เปิดแง้มน้อยๆ จนหมด อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงสองวัน
และอีกเพียงวันเดียวทัพใหญ่ของกู้เจาเป่ยก็น่าจะผ่านเข้าเขตเมืองหลวงแล้ว
เหวินโซ่วซานไม่คาดคิดเลยว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะใช้วิธีนี้ ครั้นจะเปลี่ยนใจพวกแนวหน้าซึ่งล้วนแต่เป็นทหารฝีมือดีของเขาก็เข้าเมืองไปแล้ว ครั้นจะเข้าไปต่อหางแถวที่อยู่ข้างท้ายก็จะถูกตีแตก
กองทัพของเขาในเวลานี้มีสภาพเหมือนมังกรตัวยาวเหยียด หัวเลื้อยเข้าเมือง ลำตัวติดอยู่ตรงประตูเมือง ส่วนหางเปิดเปลือยอยู่ข้างนอกทั้งหมด
เหวินโซ่วซานเดือดดาลเสียไม่มีดี จะสั่งให้คนดันประตูเมืองให้เปิดกว้าง เจ้าหินยักษ์สองก้อนนั้นก็ใหญ่โตเสียจนไม่มีผู้ใดขยับได้ ไพร่พลในกองทัพพยายามกรูกันเข้าเมืองอย่างเร่งร้อนจนอลหม่านไปหมด
“หากไม่ทันจริงๆ ก็ปล่อยให้แนวหน้าเข้าเมืองไป ส่วนที่เหลือรีบถอยโดยเร็วดีกว่านะขอรับท่านแม่ทัพ!” คนสนิทแนะอย่างร้อนใจ “สายข่าวของเรารายงานมาว่าทัพข้าศึกอยู่ห่างออกไปเพียงสามสิบหลี่ อีกไม่นานก็จะมาถึงชานเมืองแล้ว!”
เหวินโซ่วซานสบถทีหนึ่งแล้วสั่งอย่างกราดเกรี้ยว “พวกที่เข้าเมืองไปแล้วยกพลบุกตีวังหลวง ฆ่านางสตรีบนบัลลังก์มังกรผู้นั้นเสีย! พวกที่ยังไม่เข้าเมืองทั้งหมดเตรียมตัวโจมตีแบบสายฟ้าแลบให้พวกมันตั้งตัวไม่ติด!”
ไพร่พลถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ที่เข้าเมืองได้มีทหารไม่ถึงหมื่นนาย ซ้ำยังเป็นเสมือนมังกรไร้หัวเพราะเหวินโซ่วซานขึ้นม้านำทหารที่อยู่ข้างหลังเตรียมตั้งค่ายรับมือกับกู้เจาเป่ยแล้ว