ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 171-173
‘นางสตรีบนบัลลังก์มังกรผู้นั้น’ นั่งอย่างสง่าสำรวม “เมื่อสามปีก่อนเมืองหลวงมีสุสานฝังรวมขนาดใหญ่ บัดนี้ได้เวลาเอาคืนพวกโจรกบฏเสียที! ปิดประตูเมือง ฆ่าทหารที่เข้าเมืองมาแล้วไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”
“รับด้วยเกล้า” เหล่าขุนนางราชสำนักล้วนฟังคำสั่งนาง กองทหารรักษาพระองค์เคลื่อนพลออกจากวังหลวง กององครักษ์หลวงก็ติดอาวุธพร้อม กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงมีจำนวนเหนือกว่าและแข็งแกร่งกว่าที่เหวินโซ่วซานคิดไว้มาก ทหารของเขาที่เข้าเมืองมาได้ยังไม่ทันพักหายใจให้หายเหนื่อย เสียงฆ่าฟันก็ดังไปทั่วเมืองหลวง
กองทัพไม่ถึงหมื่นนั้นไม่มีเหวินโซ่วซานคอยบัญชาการ รองแม่ทัพเจ็ดคนจึงต้องนำไพร่พลของตนแยกกันเร่งรุดสู่วังหลวงจากทิศต่างๆ มิหนำซ้ำเพิ่งมาได้ครึ่งทางก็เจอกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงเข้าจนต้องห้ำหั่นกันเสียก่อน ทหารสกุลเหวินบางนายหนีเข้าไปตามบ้านเรือนของราษฎร ยังไม่ทันได้ใช้บารมีของนายทหารใหญ่เข้าข่มก็ถูกลุงป้าน้าอาใช้กระทะบ้างพลั่วบ้างฟาดเสียไม่เป็นสมประดี
กองทัพสกุลเหวินฉงนสนเท่ห์เป็นกำลัง กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงโจมตีพวกเขายังพอเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เหตุใดพวกชาวบ้านที่ปกติเห็นสงครามเป็นต้องหนีหัวซุกหัวซุน บัดนี้ถึงได้เตรียมกับดักไว้กันทุกบ้าน แล้วกระหน่ำหวดจอบหวดไม้ลงบนร่างพวกเขา บางคนเป็นยายแก่ไม่กลัวตาย ยืนยังแทบยืนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่กลับถือค้อนเหล็กฟาดศีรษะทหารสกุลเหวินสุดแรงเกิด
ทหารนายหนึ่งถีบท่านยายกระเด็น ค้อนเหล็กหลุดมือปลิวไปอีกทาง ท่านยายล้มฟุบอยู่หน้าเรือนตนเอง จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น กระนั้นก็ยังพยายามเอื้อมมืออันสั่นเทาไปหยิบไม้ฟืนข้างตัว
“นางแก่นี่เสียสติหรือไรกัน” ทหารนายนั้นถามพรรคพวก
คนข้างๆ งึมงำ “ใครจะไปรู้ แต่เดิมเมืองหลวงเป็นเมืองที่เราตีมาได้แท้ๆ เหตุใดพวกชาวบ้านถึงได้มองเราเป็นศัตรูถึงเพียงนี้…”
“บุตรสาวข้า…” ท่านยายถือท่อนฟืนพลางประคองร่างขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ “บุตรสาวบุตรชายข้าล้วนตายใต้คมดาบเดรัจฉานอย่างพวกเจ้า! ทั้งที่เป็นคนแผ่นดินเดียวกันแท้ๆ แต่กลับทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าไร้คุณธรรมได้ลงคอ ทหารสกุลเหวินอย่างพวกเจ้าไม่มีที่ยืนในเมืองหลวงหรอก!”
“หนวกหู!” ทหารเงื้อเท้าถีบโครมอย่างรำคาญเต็มที พอเห็นท่านยายแน่นิ่งไม่ขยับอีกแล้วก็ร้องหึ ทำท่าจะไปกันต่อ
พวกเขาไม่กี่คนนี้เป็นเพียงทหารที่ต้องการหนีเอาชีวิตรอด เมืองหลวงแห่งนี้แม้ไม่มีทหารฝ่ายศัตรู ทว่าเต็มไปด้วยชาวบ้านที่รับมือยาก
ปรากฏว่าเขาเพิ่งจะหมุนตัวออกเดินก็ถูกอิฐทุ่มใส่ศีรษะ เลือดไหลอาบบดบังสายตาจนพร่ามัว พวกทหารถึงเพิ่งรู้ว่าเบื้องหน้าแน่นขนัดไปด้วยราษฎรที่ถือจอบในมือ
ทหารสกุลเหวินที่เข้าเมืองหลวงล้วนแต่เป็นนายทหารฝีมือดี เสิ่นกุยอู่ที่บัญชาการทหารในเมืองหลวงนึกว่าหากจะกำจัดทหารสกุลเหวินทิ้งก็ต้องใช้แรงใช้เวลานานโข
ปรากฏว่าผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันทหารสกุลเหวินตามจุดต่างๆ ก็หนีไปอย่างเงียบเชียบ กองทหารรักษาพระองค์และกององครักษ์หลวงบาดเจ็บกันไม่มากนัก แต่ราษฎรนี่สิที่เจ็บตัวกันมากมายบ้างก็ถึงตาย
กู้เจาตงไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นกุยเยี่ยนจึงอธิบาย “ยามทหารพวกนี้มาช่วงชิงเมืองหลวงแย่งอำนาจจากฮ่องเต้ ใครแพ้ใครชนะราษฎรจดจำไม่นานนัก ทว่าเมื่อมีคนฆ่าฟันชาวบ้าน ทำลายครอบครัวพวกเขา ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะย้อนกลับมาหลังผ่านไปนานเท่าไรราษฎรก็จะจำฝังใจไม่ลืม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนชดใช้ให้กับสุสานฝังรวมนอกเมือง”
พลังของราษฎรน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ กู้เจาตงไม่อยากเชื่อเลย บางทีอาจเป็นความบังเอิญก็ได้ ตลอดระยะเวลาที่ว่าราชกิจเสิ่นกุยเยี่ยนให้ความสำคัญกับราษฎรเสมอมา ยกราษฎรในเมืองหลวงอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ชะรอยสวรรค์จะเปิดตามองแล้วตอบแทนความดีของนาง กองทัพสกุลเหวินถึงได้ถูกกลืนหายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ยามนี้ประตูเมืองปิดสนิท เหวินโซ่วซานที่อยู่ข้างนอกยังไม่ทันได้ล่วงรู้ความเป็นไปข้างใน กู้เจาเป่ยก็ยกทัพมาประชิดแล้ว เขาจำต้องทุ่มสุดตัวเพื่อรับศึกก่อน
ที่นอกเมืองหลวงกองทัพสองฝ่ายตั้งค่ายห่างกันไม่ถึงสิบหลี่ ฮ่องเต้อาศัยจังหวะยามพลบค่ำนำทหารไปลอบโจมตีคลังเสบียงสกุลเหวิน เป็นเหตุให้เสบียงอาหารพันตั้นถูกทำลายไปหมดสิ้น เหวินโซ่วซานหันไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวง เสิ่นกุยเยี่ยนรับปากว่าจะส่งเสบียงไปหนุนทันที
ตกลงกันไว้ว่าจะส่งเสบียงตอนกลางคืน ฟ้ามืดย่อมทำอะไรง่าย เสิ่นกุยอู่พาเหล่าทหารยอดฝีมือคุมเสบียงมาส่งด้วยตนเองตามที่น้องสาวกำชับ
เหวินโซ่วซานขมวดคิ้วมุ่นรออยู่หน้าค่าย จวบจนเห็นเสิ่นกุยอู่ถึงค่อยพรูลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วสั่งให้คนไปรับ
กองทหารส่งเสบียงเรียงตัวกันยาวเหยียด มองไม่ถนัดนักเพราะฟ้ามืด แต่ก็รู้ว่ามีจำนวนมากถึงขั้นล้อมที่ว่างหน้าค่ายทหารสกุลเหวินเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา ซ้ำด้านหลังยังลำเลียงเสบียงมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“มากเกินไปสักหน่อยกระมัง” เหวินโซ่วซานฉุกใจสงสัย กำลังจะอ้าปากถามก็เห็น ‘เสบียง’ จำนวนมากลุกพรวดขึ้นมาจากรถเข็นที่จอดอยู่กลางลาน
เมื่อเพ่งมองดีๆ ถึงได้รู้ว่าเสบียงเหล่านั้นหน้าตาเหมือนทหารฝ่ายศัตรูไม่ผิดเพี้ยน!
“เตรียมรบ!” เหวินโซ่วซานรีบตะโกนลั่น
ทว่าทันเสียเมื่อไรเล่า พวกไพร่พลยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่ในค่าย กว่าจะถูกปลุกให้ตื่นกระโจมของพวกตนก็ถูกทหารข้าศึกพังแล้ว
เหวินโซ่วซานสบถด่าอย่างคั่งแค้นขณะพากลุ่มคนสนิทหนีไปภายใต้การอารักขาของผู้ใต้บังคับบัญชา ค่ายทหารกว่าแปดหมื่นนายก็ถูกข้าศึกกลืนกินหมดสิ้นแล้ว เขาจำต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปยังฐานที่มั่นด้านหลัง
เสิ่นกุยอู่ก็เป็นคนทรยศ!
เหวินโซ่วซานตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ มิน่าเล่าเสิ่นกุยเยี่ยนถึงสามารถควบคุมเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย เพราะมีเสิ่นกุยอู่อยู่นี่เอง! ทำเป็นบอกว่าสำมะเลเทเมาอยู่ในหอคณิกา เกรงว่าจะเป็นการกุเรื่องจัดฉาก เล่นละครปิดบังการแปรพักตร์ครั้งใหญ่ที่สุดให้เขาดูสินะ!
ตอนอวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์ เหวินโซ่วซานยังรับมือทัน แต่พอเสิ่นกุยอู่แปรพักตร์อีกคนเท่ากับตัดทางหนีของเขาชัดๆ
“บุก!” กู้เจาหนานนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างองอาจดุดัน ดวงตาเป็นประกายกล้า
สามปีมานี้เขาได้เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยผู้บัญชาการขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการหลัก ทำศึกชนะครั้งแล้วครั้งเล่าโดยอาศัยภรรยาจนเป็นที่ไว้วางใจของฮ่องเต้ ขอเพียงรบชนะในศึกสุดท้ายเขาก็จะได้อยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต
สวี่เมิ่งเตี๋ยบอกว่าศึกครั้งนี้เหวินโซ่วซานจะไม่สู้ แต่จะหนีเพราะอยากรักษาชีวิต โดยจะไปซ่อนตัวในวัดเฉิงหวง* ในเจิ้งโจว กู้เจาหนานรับรองกับฮ่องเต้ว่าจะต้องจับเป็นเหวินโซ่วซานกลับมาให้ได้
ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่พะวงทางนี้ พอมาถึงชานเมืองหลวงเขาก็ปรี่เข้าเมืองอย่างทนรอไม่ไหว
ประตูเมืองปิด? ไม่เป็นไร หาจุดปลอดคนปีนกำแพงเอาก็ได้
ม้าปีนกำแพงไม่เป็น? ไม่เป็นไร พอเข้าไปแล้วข้าจะวิ่งเอา!
จุยอวิ๋นทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล จำต้องปีนกำแพงไต่ชายคาเข้าเมืองหลวงตามเจ้านายไปด้วย
เวลานี้ขั้วอำนาจในเมืองหลวงไม่แน่ชัด เขาอยากบอกนายเหนือหัวเหลือเกินว่าเข้าไปตามลำพังเช่นนี้อันตรายเกินไป ทว่ากู้เจาเป่ยฟังเสียที่ใด เจ้าตัววิ่งผ่านถนนเฉิงเต๋อในอึดใจเดียว ลัดเลาะตามตรอกซอกซอย จนสุดท้ายมาหยุดอยู่นอกวังหลวง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนสิงหาคม 66)