บทที่ 3 หญิงต่างมิติ
เสิ่นกุยหย่ากระโดดลงสระบัวฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ถูกบ่าวในจวนช่วยขึ้นมาได้เสียก่อน
อาการตอบสนองแรกของเสิ่นกุยเยี่ยนเมื่อรู้เรื่องคือด่าว่าในใจ ไม่มีสมองก็เลยทำตัวได้ไร้สมองจริงๆ สระบัวลึกไม่ถึงเอวด้วยซ้ำ อยากตายนักก็ไปกระโดดคูเมืองโน่นเลยสิ! จะต้องมากระโดดสระบัวด้วยเหตุใด
แต่แล้วนางกลับได้ยินสาวใช้ของหอตระการสะอึกสะอื้น “น่ากลัวว่าจะรักษาชีวิตคุณหนูห้าเอาไว้ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ นางจมอยู่ในสระบัวนานเกินไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้นเสียที”
คนจวนสกุลเสิ่นแตกตื่นกันทั้งหมด ทยอยกันมาที่หอตระการ ล้วนได้ยินเสียงร่ำไห้ปานปอดจะฉีกของอวี้ซู “เป็นเพราะคนหลายใจผู้นั้น หากไม่ใช่เพราะเขามีหรือคุณหนูจะคิดสั้น! นายท่าน ฮูหยินเจ้าคะ พวกท่านต้องช่วยทวงความเป็นธรรมให้คุณหนูนะเจ้าคะ!”
นายผู้เฒ่าเสิ่นนั่งอยู่อีกทาง ยังไม่ทันได้อ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นฮูหยินก็ตวาดแหวทั้งที่ยังร้องไห้เสียก่อน “คนหลายใจอะไรกัน พูดให้รู้เรื่องซิ ใครทำให้หย่าเอ๋อร์ของข้าตาย ข้าจะให้มันชดใช้ด้วยชีวิต!”
พูดราวกับว่าเสิ่นกุยหย่าไม่ได้มีชีวิตแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เสิ่นกุยเยี่ยนนับว่ามาช้ากว่าผู้อื่น ตอนมาถึงในเรือนก็มีผู้คนยืนออแน่นขนัดไปหมด อวี้ซูเห็นว่านางมาเสียที จึงยอมเปิดปากเล่าเรื่อง ‘คนหลายใจ’ ในที่สุด
“คุณชายกู้หมั้นหมายกับคุณหนูสามอยู่แล้ว ยังล่อลวงคุณหนูของบ่าวจนคุณหนูเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่หลังเกิดเรื่องกลับไม่รับผิดชอบ บอกว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูของบ่าวเด็ดขาด คุณหนูทั้งอับอายทั้งแค้นใจ ถึงได้คิดสั้นฆ่าตัวตายอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
ทุกคนในห้องตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อได้ฟังเช่นนั้น สายตาสิบกว่าคู่มองไปทางเสิ่นกุยเยี่ยนที่อยู่ตรงหน้าประตูเป็นตาเดียว
พูดเช่นนี้แม้แต่สีดำก็ยังถูกกลับให้เป็นสีขาว เสิ่นกุยเยี่ยนขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอย่างอดไม่อยู่ เป็นฝ่ายยั่วยวนคุณชายกู้อย่างไร้ยางอายเองแท้ๆ ยังมีหน้ามาพูดว่าฝ่ายชายทำลายความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนเอง?
อีกอย่างไฉนถึงพากันมองนางเช่นนี้ คนที่ทำให้เสิ่นกุยหย่าคิดสั้นหาใช่นางเสียหน่อย
เสิ่นฮูหยินเดือดดาลจัด ตบเตียงลุกพรวดขึ้นมาขยำผ้าเช็ดหน้าพลางมองสามี “หากยอมลงให้เรื่องนี้ สกุลเสิ่นอันยิ่งใหญ่ของเราก็ทำตัวต่ำต้อยเกินไปแล้วนะเจ้าคะ! เป็นตระกูลอัครเสนาบดีแล้วอย่างไร ทำให้หญิงสาวมีราคีก็ควรรับผิดชอบ!”
นายผู้เฒ่าเสิ่นเองก็สงสารบุตรสาวเช่นกัน แต่กระนั้นก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอวี้ซูเสียทีเดียว กู้เจาตงเป็นที่ชื่นชมเกินหน้าคนหนุ่มรุ่นเดียวกัน ไม่มีหรอกที่จะประพฤติตนไร้คุณธรรมเยี่ยงนี้ จะแต่งงานกับเยี่ยนเอ๋อร์อยู่รอมร่อแล้ว เหตุใดถึงไปทำให้หย่าเอ๋อร์มีราคีเสียอย่างนั้น
“รอให้หย่าเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยซักไซ้ให้กระจ่างดีกว่า” นายผู้เฒ่าเสิ่นถอนหายใจเฮือก
เสิ่นกุยเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หากคุณชายกู้ล่อลวงน้องห้าแล้วไม่คิดจะรับผิดชอบจริง เยี่ยนเอ๋อร์ก็ไม่ปรารถนาจะฝากฝังชีวิตไว้กับคนเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องซักถามกันให้รู้เรื่องเจ้าค่ะ”
รอน้องสาวต่างมารดาได้สติ อย่างมากก็ให้เผชิญหน้ากับกู้เจาตง ถ้าได้พูดกันต่อหน้า มีหรือจะยังกล้ากลับดำให้เป็นขาวอีก ยั่วยวนว่าที่พี่เขยก่อนหน้างานแต่งงาน คนที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงคือตัวเสิ่นกุยหย่าเองต่างหาก
ได้ยินดังนั้นเสิ่นฮูหยินก็พูดต่อไม่ออก ได้แต่มองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างเย็นชาแล้วหันไปร้องห่มร้องไห้เฝ้าไข้บุตรสาวสุดที่รักต่อ
เสิ่นกุยหย่านอนไม่ได้สติอยู่หนึ่งวัน ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นคนจากสกุลกู้ก็มาเยือน หาใช่ใครอื่น แต่เป็นอัครเสนาบดีกู้พาบุตรชายมาคารวะด้วยตนเอง
สกุลเสิ่นเป็นเพียงรองเสนาบดี แต่อัครเสนาบดีคนปัจจุบันมาเยี่ยมเยือนถึงที่ ทั้งนายทั้งบ่าวจึงตื่นตกใจไปตามๆ กัน ขนาดเสิ่นฮูหยินที่คิดว่าตนเป็นฝ่ายถูกยังอดยำเกรงบารมีอัครเสนาบดีกู้ไม่ได้ ถึงกับออกไปยืนรอต้อนรับด้วยตนเองตรงหน้าประตูจวน
“เสิ่นฮูหยินไม่ต้องมากพิธี” อัครเสนาบดีกู้มีนิสัยสมถะถ่อมตน พามาเพียงกู้เจาตงกับสารถีเท่านั้น ไม่ให้ใครอื่นติดตามทั้งสิ้น พอถึงที่หมายยังเป็นฝ่ายประสานมือคำนับน้อยๆ “ข้าพาบุตรชายไม่รักดีมาขอขมา ได้แต่หวังว่าเสิ่นฮูหยินกับคุณหนูสามจะยอมฟังมันอธิบายสักนิด”
ตั้งแต่เข้ามาในจวนกู้เจาตงก็คอยแอบมองเสิ่นกุยเยี่ยนตลอด แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็น ได้แต่เดินนำทางสองพ่อลูกไปยังห้องโถงใหญ่อย่างสำรวม
“ครานี้หลานมาเพราะอยากคุยเรื่องคุณหนูห้าสกุลเสิ่นขอรับ” กู้เจาตงถลกชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าในห้องโถง คนสกุลเสิ่นทำท่าจะเข้าไปประคองขึ้นมาด้วยความตกใจ หากแต่เจ้าตัวกลับยกมือปราม แล้วโขกศีรษะคำนับนายผู้เฒ่าสกุลเสิ่นและฮูหยินอย่างนอบน้อม “คนด้อยสามารถเช่นหลานมีดวงเนื้อคู่อันแสนประเสริฐที่สวรรค์ประทานให้ จึงได้คุณหนูสามสกุลเสิ่นมาเป็นคู่แต่งงาน แต่ไม่กี่วันก่อนสาวใช้คนหนึ่งลวงหลานไปที่โรงเตี๊ยมสามกระจ่างที่อยู่นอกจวน จนทำให้…เกิดสัมพันธ์ทางกายกับคุณหนูห้าสกุลเสิ่น”
เขาเอื้อนเอ่ยอย่างยากเย็นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่าคนทั้งห้องรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ตกใจแต่อย่างใด เพียงแค่อยากรู้ต้นสายปลายเหตุเท่านั้น