“ใช่ว่าหลานคิดจะโยนความผิด แต่สตรีชั้นสูงเช่นคุณหนูห้ากลับลดตัวไปใช้ยากระตุ้นกำหนัด ซ้ำยังนัดแนะกับหลงจู๊โรงเตี๊ยมจนหลานเพลี่ยงพล้ำ นับเป็นการกระทำที่ไม่น่าสรรเสริญ” กู้เจาตงพูดชัดถ้อยชัดคำ “หลานมีใจรักมั่นต่อคุณหนูสามสกุลเสิ่น ตะวันจันทราเป็นประจักษ์ ฟ้าดินเป็นพยาน เมื่อพลั้งผิดไปชั่วครู่ชั่วคราวจึงใคร่บังอาจขอการอภัยจากสกุลเสิ่นขอรับ”
ทุกคนในห้องโถงใหญ่พากันสูดหายใจเฮือกมองชายหนุ่มอย่างตกตะลึง เสิ่นฮูหยินโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “คำกล่าวของคุณชายกู้ไม่ใคร่พ้องกับคำบอกเล่าของสาวใช้ประจำตัวหย่าเอ๋อร์นัก ถ้าอย่างไรให้อวี้ซูมาให้การแย้งกับคุณชายได้หรือไม่”
หากเสิ่นกุยหย่าใช้ยาปลุกกำหนัดล่อลวงเขาจริง ไม่เพียงแต่ตัวนางที่เสียหน้ายับเยิน แม้แต่หน้าของสกุลเสิ่นก็อย่าได้หวังจะรักษาไว้!
กู้เจาตงพยักหน้า จากนั้นอวี้ซูก็ถูกพาตัวเข้ามา ร่างพลันสั่นเทิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเขา
เดิมทีนึกว่าเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก* แล้วคุณหนูย่อมสามารถออกเรือนไปอย่างราบรื่น ใครเลยจะรู้ว่าคุณชายกู้แน่วแน่จะแต่งงานกับเสิ่นกุยเยี่ยนเพียงคนเดียวราวกับกินตาชั่งเข้าไปก็มิปาน มิหนำซ้ำยังปฏิเสธคุณหนูของนางอีก คุณหนูเดือดดาลจัดจึงแสร้งทำเป็นกระโดดสระบัวฆ่าตัวตายเพื่อบีบให้อีกฝ่ายแต่งงานด้วย
ปรากฏว่าแสร้งเล่นละครจนเลยเถิด จวบจนบัดนี้ก็ยังสลบไสลไม่ฟื้น กระทั่งฝ่ายชายยังมาอธิบายความจริงถึงจวนก่อนแล้ว
“อวี้ซู เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกครั้งซิ” เสิ่นฮูหยินสั่งด้วยสีหน้าเข้มงวด
อวี้ซูเป็นพวกคิดอะไรเองไม่เป็น ได้แต่นั่งคุกเข่าส่ายหน้าตัวสั่นงันงกอยู่ข้างๆ กู้เจาตง พูดไม่ออก
“อะไรกัน!” เสิ่นฮูหยินชักร้อนใจขึ้นมา “เมื่อวานเจ้ายังเล่าต้นสายปลายเหตุอยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงพูดไม่ออกเสียเล่า”
“บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ!” อึกอักอยู่นานอวี้ซูก็พูดออกมาได้แค่ประโยคนี้
กู้เจาตงหัวเราะเบาๆ เสิ่นฮูหยินเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม ขณะที่เสิ่นกุยเยี่ยนยืนมองละครฉากนี้เงียบๆ นางกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ช่างวุ่นวายไร้สาระโดยแท้
“ครึกครื้นดีจริง”
เสียงอ่อนแรงดังขึ้นมาจากทางหนึ่ง ทุกคนชะงักแล้วหันไปมอง เห็นเสิ่นกุยหย่าสวมชุดนอนคลุมเสื้อกันลมยืนอยู่ตรงนั้น
“หย่าเอ๋อร์!” เสิ่นฮูหยินลุกพรวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ฟื้นแล้วหรือลูก”
เสิ่นกุยหย่ามีท่าทางงงงัน นางมองมารดาอยู่นานถึงค่อยถามว่า “ฉันชื่อหย่าเอ๋อร์?”
กู้เจาตงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย สตรีผู้นี้จะเล่นลูกไม้ใดอีกเล่า
“ฉันเพิ่งตื่น เหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” เสิ่นกุยหย่าพูดเองเออเองพลางเดินเข้ามา “พวกคุณเป็นใครน่ะ แล้วทำอะไรกันอยู่ พอฉันตื่นก็มีสาวใช้บอกให้รีบมาที่นี่ กำลังถ่ายละครกันอยู่หรือ”
“หย่าเอ๋อร์…” เสิ่นฮูหยินชักลนลาน “เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ นี่ท่านพ่อของเจ้า นี่น้องชาย แล้วก็ข้า…ข้าเป็นมารดาของเจ้าอย่างไรเล่า”
ดูเหมือนเสิ่นกุยหย่าจะตกตะลึงกับอะไรบางอย่าง นางยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะได้สติ แล้วหัวเราะอย่างโง่งมกับตนเอง “เราทะลุมิติมาแล้วสิเนี่ย”
ไม่มีใครฟังออกว่านางพูดอะไร เนื่องจากมีอัครเสนาบดีกู้อยู่ด้วย นายผู้เฒ่าเสิ่นจึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “บุตรสาวผู้น้อยคงได้รับความสะเทือนใจ ตอนนี้เลยกลายเป็นคนด้อยปัญญาไปเล็กน้อย ขอท่านอัครเสนาบดีโปรดอย่าได้ถือสา”
อัครเสนาบดีกู้มองเสิ่นกุยหย่าอยู่สักพัก ก่อนจะก้มหน้า “บุตรชายไม่รักดีของข้าผิดต่อคุณหนูห้า ทว่าสกุลกู้แต่งเจ้าสาวเพียงครั้งละคนเท่านั้น หากไม่ติดขัดอันใด คุณหนูห้าจะรออีกสักสองปีแล้วค่อยแต่งเข้าจวนก็ย่อมได้ รับรองว่าข้าจะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี”
“ท่านพ่อ!” กู้เจาตงร้องเรียกเบาๆ ความรู้สึกต่อต้านระบายอยู่เต็มใบหน้า
อัครเสนาบดีกู้ยิ้มบางๆ แล้วหันไปถามเสิ่นกุยเยี่ยน “คุณหนูสามรังเกียจหรือไม่”
นางย่อกายคารวะอย่างชดช้อย “กุยเยี่ยนย่อมไม่รังเกียจอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากน้องห้ากลายเป็นคนด้อยปัญญาไป กุยเยี่ยนกับคุณชายกู้ก็สมควรดูแลนาง”
หากเป็นคนด้อยปัญญาไปจริงๆ ก็เป็นผลกรรมที่เสิ่นกุยหย่าควรได้รับแล้ว แต่หากว่าไม่…
เสิ่นกุยเยี่ยนอดเหลือบมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้
เสิ่นกุยหย่าที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในวงล้อมของผู้อื่นมองมาทางนางโดยไม่เจตนา สายตาเหมือนมองคนแปลกหน้า
“คุณหนู บ่าวว่าคุณหนูห้าแปลกๆ ชอบกลนะเจ้าคะ”
คนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายกันหมดแล้ว เป่าซั่นเดินตามหลังเสิ่นกุยเยี่ยนพลางกระซิบกระซาบ “เห็นว่าเอาแต่พูดจาเหลวไหลตลอดเวลา แต่ยังดูมีสติดี ไม่ได้มีท่าทางของคนด้อยปัญญาเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องสนใจนางหรอก” ผู้เป็นนายเม้มปาก “ตอนนี้ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่านางยั่วยวนคุณชายกู้ ถ้านางทำทีเป็นคนด้อยปัญญาไปเสียก็ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดอยู่เหมือนกัน จะได้รอดตัวจากการถูกรุมประณามได้”
เป่าซั่นขยี้เท้าอย่างขัดใจ “นางทำตัวไร้ยางอายเยี่ยงนั้น แค่แสร้งว่าด้อยปัญญาก็รอดตัวแล้วหรือเจ้าคะ”
“โมโหอะไรของเจ้ากัน” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มบางๆ “เตรียมตัวสำหรับออกเรือนเถิด”
ไม่ว่าจะด้อยปัญญาจริงหรือแสร้งทำ เวลานี้อีกฝ่ายก็ไม่อาจกระทำการใดต่อการแต่งงานของนางได้อีกแล้ว เพียงเท่านี้ก็เกินพอ