ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 3-4
บทที่ 4 ดวงวิวาห์ผันแปร
ความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเสิ่นกุยเยี่ยนด่วนวางใจเร็วเกินไป เสิ่นกุยหย่าไม่ได้เป็นคนด้อยปัญญา กลับหลักแหลมคมคายขึ้นด้วยซ้ำ หลังจากทำให้คนทั้งจวนประจักษ์ข้อนี้ ฝ่ายนั้นก็ยกนิ้วชี้นาง “พี่กุยเยี่ยนรูปโฉมงดงาม เชื่อว่าคงเป็นคนที่คุณชายกู้นั่นหลงรักปักใจสินะ”
คำพูดคำจาสุภาพนุ่มนวลขึ้น แม้แต่เสิ่นกุยเยี่ยนยังอดพิจารณาเสิ่นกุยหย่าไม่ได้ ก่อนจะก้มหน้ารับเงียบๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสิ่นกุยหย่ายกมือลูบใบหน้าตนเองแล้วกล่าวยิ้มๆ “ขอให้พี่สาวมีความสุขกับการแต่งงาน พี่สาวออกเรือนอย่างสบายใจเถิด น้องจะไม่ขัดขวางแม้แต่นิดเดียว”
จู่ๆ เสิ่นกุยหย่าที่มักจะด่าทอตบตีนางอยู่เสมอก็อ่อนหวานขึ้นมา เสิ่นกุยเยี่ยนไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แต่แน่นอนว่านางย่อมปรารถนาให้อีกฝ่ายยอมเมตตารามืออยู่แล้ว
ภิกษุเพี้ยนรูปหนึ่งเคยดูดวงให้เสิ่นกุยเยี่ยน บอกว่าเมื่ออายุสิบห้านางจะเจอเคราะห์หนัก อายุยี่สิบมีโชคใหญ่ ยามผมหงอกขาวต้องตกทุกข์ครั้งสำคัญ
ตามความคิดของเสิ่นกุยเยี่ยน พวกนักบวชที่เที่ยวถือกระดิ่งกับป้ายธงเดินตามถนนล้วนแต่เชื่อถือไม่ได้ ต่อให้เป็นคนที่ปลงผมจนเกลี้ยงก็ไม่เว้น ชะตาน่ะ…อยู่ที่ตัวเราใช้ชีวิตอย่างไรต่างหาก
นางเองใกล้อายุครบสิบห้าอยู่รอมร่อ ก็ไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เสิ่นกุยเยี่ยนกลับไปเตรียมชุดเจ้าสาวอย่างสบายใจ ฉินอี๋เหนียงก็มาช่วยเตรียมพวกผ้าปัก กู้เจาตงแวะเวียนมาหาอีกครั้งในค่ำคืนกระจ่างจันทร์ที่สายลมโชยชื่น ระหว่างที่นางกำลังปักลวดลายบนกระโปรง เขายืนมองนางจากนอกหน้าต่าง “ข้าเรียนท่านพ่อเรียบร้อยแล้วว่าจะแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ไว้เจ้าแต่งเข้าจวนเมื่อไรค่อยหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูห้าสักคนก็แล้วกัน”
เสิ่นกุยเยี่ยนมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความตื้นตันสุดแสน เพราะห้องนอนของนางอยู่บนชั้นสองของหอนางแอ่น ไม่ง่ายเลยที่จะมีคนมาเกาะห้อยอยู่ข้างนอกเช่นเขาในตอนนี้
ดังนั้นนางจึงเชื่อใจเขา
ปรากฏว่าไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ชื่อแซ่และเวลาตกฟากที่เอาไปผูกดวงกันไว้แล้วกลับมีปัญหาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ความจริงแม่สื่อเพียงมาขอเวลาตกฟากนางตามขั้นตอนในพิธีเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าได้คำทำนายเลวร้ายแทน ดวงของเขาและนางหักล้างกัน ไม่อาจแต่งงานกันได้
คนสกุลเสิ่นพากันตกตะลึงเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ตัวกู้เจาตงเองก็นิ่งงันไป ได้แต่มองหน้ากันกับนาง พูดอะไรไม่ออก
สมัยเด็กๆ เสิ่นกุยเยี่ยนเคยดูดวงมาครั้งหนึ่งแล้ว พบว่านางมีดวงส่งเสริมสามีให้รุ่งโรจน์ แล้วเหตุไฉนตอนนี้ถึงกลายเป็นดวงชงกับกู้เจาตงได้เล่า นางหน้าซีดเผือด ทว่าไม่ได้หลบไปร้องห่มร้องไห้เหมือนบรรดาคุณหนูทั้งหลาย กลับแอบเอาเวลาตกฟากของกู้เจาตงและของตนเองไปหาหมอดูโดยไม่ให้ใครรู้
ผลคือหมอดูบอกว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับเนื้อคู่สวรรค์ประทาน แต่ก็ยังแต่งงานกันได้
นางคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดคำทำนายของสกุลกู้ถึงได้บอกว่า ‘ดวงชง’
เสิ่นกุยเยี่ยนกลับเข้าจวนทางประตูหลัง พอเดินอ้อมมาตามเฉลียงยาวก็บังเอิญได้เห็นกู้เจาตงเดินดุ่มๆ มาแต่ไกลอย่างเร่งรีบ โดยมีเสิ่นกุยหย่ายิ้มระริกระรี้ไล่ตามมาด้านหลัง
“ท่านชังข้าถึงเพียงนี้จริงหรือ” เสิ่นกุยหย่าถามด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันไปมอง “คุณหนูห้าโปรดสำรวมกิริยาด้วย”
เสิ่นกุยหย่าทำปากอูมกระเง้ากระงอดอย่างน่ารัก แต่ก็ดูไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง ถึงได้กระแซะติดตามอีกฝ่ายไปอีก “พวกบุรุษน่ะชอบปากอย่างใจอย่าง เห็นว่าข้ากับท่านมีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้วนี่ ท่านยังจะให้ข้าสำรวมตนไปไยบุรุษจอมปลอม”
กู้เจาตงไม่รู้จะพูดด้วยอย่างไรแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อเดินหนี ทั้งคู่เลี้ยวหายไปตามเฉลียง ขณะที่เสิ่นกุยเยี่ยนแสร้งทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“เหตุใดคุณหนูห้าถึงได้หน้าหนาเยี่ยงนี้นะเจ้าคะ” เป่าซั่นกระทืบเท้าด้วยความโมโหอยู่ข้างหลังผู้เป็นนาย “ฉวยโอกาสที่คุณหนูไม่อยู่ตามตอแยคุณชายกู้แจ หูตานี่แพรวพราวเชียว อย่าบอกนะว่าถูกภูตผีตนใดในสระบัวสิงร่างเอาน่ะ?”
เสิ่นกุยเยี่ยนแค่นยิ้ม “สตรีรุ่มร่ามเช่นนาง คุณชายกู้ไม่ชายตามองอยู่แล้ว กังวลอะไรเล่า”
“แต่…บ่าวกลัวคุณชายกู้จะถูกผีร้ายดลจิตดลใจเอาน่ะสิเจ้าคะ…” เป่าซั่นเบ้ปาก
“ไม่หรอก” เสิ่นกุยเยี่ยนคลี่ยิ้ม “ข้ารู้จักเขาตั้งแต่เด็ก จนถึงบัดนี้ก็หกปีกว่าแล้ว ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร เขาไม่มีทางทรยศข้าหรอก”
นานถึงเพียงนี้เรียกได้ว่าเขาและนางรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ต่อให้กู้เจาตงจะไม่สุขุมเรียบร้อยเท่านี้ ก็ไม่มีทางชอบสตรีที่ไร้ปัญญาความรู้และความสง่างามนุ่มนวลเช่นเสิ่นกุยหย่าเด็ดขาด ข้อนี้นางมั่นใจในตนเองอยู่มาก
น่าเสียดายนัก แม้เสิ่นกุยเยี่ยนจะอ่านหนังสือมามากมาย แต่ชั่วชีวิตเคยรู้จักบุรุษอยู่เพียงคนเดียว จึงไม่ตระหนักว่าบุรุษยิ่งสุขุมเท่าไรยิ่งร้ายลึกเท่านั้น
ซ้ำพวกร้ายลึกยังทำเราเจ็บกว่าพวกร้ายเปิดเผยมากนัก
พอเดินเลี้ยวไปถึงมุมปลอดคนในจวน เสิ่นกุยหย่าก็ยิ่งใจกล้าขึ้นกว่าเก่า ถึงกับดึงผ้าคาดเอวของกู้เจาตง แล้วลากเขาเข้าไปในห้องเก็บฟืนด้วยกัน!
“เจ้าจะทำอะไร” กู้เจาตงขมวดคิ้ว
เสิ่นกุยหย่าหัวเราะคิกคักพลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวเอวเขาไว้ “ปากคุณชายไม่ยอมรับ แต่ร่างกายซื่อสัตย์มากเลยนี่”
มือนางลูบลงไปข้างล่าง การกระทำใจกล้าอย่างที่สตรียุคโบราณไม่มีทางทำได้ กู้เจาตงถึงกับตะลึงลานจนลืมขัดขืนไปโดยสิ้นเชิง
วิญญาณที่อยู่ในร่างเสิ่นกุยหย่านี้มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่หาใช่วิญญาณดีไม่ เป็นสาวเริงราตรีที่ขลุกอยู่ตามบาร์นั่งดื่มมานาน ช่ำชองในการรับมือกับบุรุษยิ่งนัก เมื่อข้ามมิติมาอยู่แปลกที่แปลกถิ่นเช่นนี้ย่อมต้องหาบุรุษไว้เป็นหลักยึดเกาะอันดับแรก
ดูไปดูมาก็มีแต่อีตากู้เจาตงคนนี้ล่ะที่พอจะถูไถตรงความชอบอยู่บ้าง เจ้าของร่างเดิมก็เหมือนจะถูกใจเขาด้วย เช่นนั้นก็เอาคนผู้นี้แล้วกัน
ลองว่านางหมายตาบุรุษคนใด ไม่มีทางเสียหรอกที่จะหลุดมือไปได้
กู้เจาตงกำลังจะขยับปากตวาดก็พลันหน้าแดงก่ำ ลมหายใจหอมรวยรื่นของสตรีเป่ากระทบใบหูเบาๆ “จะต้องขัดขืนไปไย ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังอยู่แล้ว คุณชายไม่อยาก…สนุกกับหย่าเอ๋อร์อีกสักยกหรือเจ้าคะ หือ?”
คนงามไม่น่ากลัว กลัวแต่พวกที่มีท่วงท่าชั้นยอดบนเตียงนี่ล่ะ กู้เจาตงกำลังหงุดหงิดและเหนื่อยใจกับเรื่องดวงเป็นทุนเดิม พอเจอเสิ่นกุยหย่ายั่วยวน เขาก็ไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น จึงปล่อยให้ตนเองจมลงไปในห้วงปรารถนาทางกาย
บ่าวในจวนเดินผ่านมาได้ยินเสียงเข้าก็สูดลมหายใจเฮือก แล้วหันหลังวิ่งแน่บไปทางเรือนเสิ่นฮูหยิน
ทว่าเสิ่นฮูหยินยังคงเยือกเย็น เมื่อรู้เรื่องก็ไม่ได้ทำเป็นเรื่องราวใหญ่โตแล่นไปจับคนกระทำผิดให้เอิกเกริก แค่พาสาวใช้จำนวนหนึ่งในเรือนตนไปดักรอหน้าห้องเก็บฟืน เมื่อสองหนุ่มสาวเสร็จสมอารมณ์หมายก็พาตัวทั้งคู่กลับไปเจรจาที่เรือน