ในห้องโถงใหญ่เสิ่นฮูหยินกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอย่างเศร้าใจ “แต่งออกไปเช่นนี้เสียแล้ว…”
นายผู้เฒ่าเสิ่นมองภรรยาอย่างกังขา “ปกติเจ้าไม่ชอบเยี่ยนเอ๋อร์กว่าใครไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้กลับร้องไห้ได้เล่า”
เสิ่นฮูหยินชะงัก กำลังจะอ้าปากตอบใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากหน้าห้อง “ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนคำนับอย่างนอบน้อม ทว่าครั้งนี้นางกลับเงยหน้าขึ้นมองบิดาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยนเอ๋อร์?!” นายผู้เฒ่าเสิ่นอุทานพลางยกมือชี้ออกไปด้านนอก “เจ้าไม่ได้…”
“เรียนท่านพ่อ ลูกกำลังอยากเรียนถามท่านพ่อเรื่องนี้ล่ะเจ้าค่ะ” เสิ่นกุยเยี่ยนไม่อ้อมค้อม มองหน้าเสิ่นฮูหยินพลางพูดชัดถ้อยชัดคำ “วันนี้เป็นวันมงคลของเยี่ยนเอ๋อร์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านแม่ถึงได้พาน้องห้าบุกเข้ามาในห้องของเยี่ยนเอ๋อร์แล้วแย่งชุดเจ้าสาวไป ทั้งยังขังเยี่ยนเอ๋อร์ไว้ในห้องไม่ยอมให้ออกมาข้างนอก แล้วส่งน้องห้าขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน”
นายผู้เฒ่าเสิ่นหน้าเครียด หันไปมองภรรยาอย่างไม่เชื่อหู “เจ้าทำเช่นนั้นจริงหรือ!”
เสิ่นฮูหยินใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก มองเสิ่นกุยเยี่ยนแวบหนึ่งแล้วตอบเบาๆ “เรื่องนี้กะทันหัน ข้าเลยยังไม่ได้เรียนนายท่าน ฉินอี๋เหนียงตายแล้ว ตายในห้องเยี่ยนเอ๋อร์วันนี้”
ฟ้ามืดลงในฉับพลัน จากที่อากาศโปร่งสบายในช่วงย่ำค่ำ จู่ๆ ด้านนอกก็เริ่มมีฝนตกลงมา
เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นฮูหยินอย่างตกตะลึง ฝ่ายหลังกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “หมอมาดูอาการแล้ว บอกว่าถูกพิษจากสารหนู ไม่รู้ว่าวันนี้ทั้งวันนางกินอะไรบ้าง หมอพยายามหาทางช่วยแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ นางก็เลยจากไปทั้งอย่างนั้น มารดาตายทั้งคนจะแต่งออกไปก็ไม่เป็นมงคลแล้วกระมัง ดังนั้นข้าจึงระงับการแต่งงานของเยี่ยนเอ๋อร์เอาไว้ แล้วให้หย่าเอ๋อร์แต่งไปแทน”
หลังจากเม้มปากเล็กน้อย นางก็พูดต่อไป “อีกอย่างหย่าเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์บุตรของคุณชายกู้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าทางจวนอัครเสนาบดีจะเอาจวนเราไปว่าเสียๆ หายๆ หรอก เรื่องนี้บุตรชายเขาเป็นคนก่อเรื่อง พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ”
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้ยินถ้อยคำช่วงหลังๆ แม้แต่น้อย นางรู้เพียงแค่ว่าฉินอี๋เหนียงจากไปแล้วเท่านั้น
นางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ก่อนเบิกตากว้างแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักนิด
ในจวนประดับแพรแดงและอักษรมงคล หากแต่เรือนด้านหลังมีคนโหรงเหรง เสียงสาวใช้ร่ำไห้ลอยออกมาจากเรือนฉินอี๋เหนียง สายฝนโปรยปรายลงมาบางๆ ซิ่วเจวียนคุกเข่าอยู่ข้างเตียงผู้เป็นนาย ร้องไห้เสียจนเสียงแหบแห้ง
“เมื่อเช้าตอนตื่นมาอี๋เหนียงยังดีๆ อยู่เลย บอกว่าจะไปเกล้าผมงามๆ ให้คุณหนู จู่ๆ จะจากไปในพริบตาเดียวได้อย่างไร จะต้องถูกใครเล่นงานเป็นแน่ สารหนูเป็นยาพิษ มีหรือที่อี๋เหนียงจะกินเข้าไปส่งเดช!”
เสิ่นกุยเยี่ยนคุกเข่าลงข้างเตียง เสียงร้องไห้ของซิ่วเจวียนดังอยู่เต็มหู ทว่านางไม่ได้ยินเลยสักนิด เอาแต่มองคนที่วันนี้ยังหวีผมให้ตนเองอยู่ในคันฉ่อง แต่บัดนี้กลับนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าไร้สีเลือด ไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
ฉินซื่อ* เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง รอจนให้กำเนิดคุณชายรองถึงมีวาสนาได้เป็นอี๋เหนียง นางเป็นคนมือไม้คล่องแคล่ว เสื้อผ้าสมัยลูกๆ ยังเล็กนางล้วนตัดเย็บเองกับมือทั้งสิ้น ถูกผู้อื่นรังแกก็ไม่เคยปริปากสักครั้ง เสิ่นกุยเยี่ยนมักโมโหเสมอ โมโหที่ฉินอี๋เหนียงปกป้องตนเองไม่เป็น
ฉินอี๋เหนียงมักพูดยิ้มๆ อยู่เป็นนิตย์ ‘ข้าก็มีคนที่อยากปกป้องเช่นกัน ดังนั้นของบางอย่างจึงจำเป็นต้องทน’
ความอดทนคือสิ่งที่ฉินอี๋เหนียงคอยสอนเสิ่นกุยเยี่ยน ทว่าบัดนี้นางตายเสียแล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนอยากหัวเราะ แต่เพิ่งจะขยับริมฝีปาก น้ำตาก็ร่วงพรูลงมาแทน
* ชุดกระโปรงหรูฉวิน เป็นชุดแต่งกายชาวฮั่นที่นิยมในหมู่สตรีในสมัยราชวงศ์ซ่ง ท่อนบนเป็นเสื้อตัวสั้น ท่อนล่างเป็นกระโปรงสอบ มีสายผูกรอบลำตัวขับเน้นช่วงใต้อกหรือเอวให้เด่นชัด
* แม่นมมงคล คือหญิงออกเรือนแล้วที่ฝ่ายชายว่าจ้างมาช่วยเรื่องพิธีการต่างๆ ในงานแต่งงาน โดยแม่นมมงคลจะรู้ธรรมเนียมพิธีในการแต่งงานเป็นอย่างดีและช่างเจรจา
* จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ เป็นสำนวนที่มีที่มาจากนิทานสุภาษิต หมายถึงอาศัยอำนาจบารมีของผู้อื่นมาข่มขู่รังแกผู้ที่ด้อยกว่า
* ซื่อ ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี ในที่นี้ยังสามารถเรียกขานสตรีที่เป็นอนุภรรยา (อี๋เหนียง) ได้อีกด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.