ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 9-10
ความตายของฉินอี๋เหนียงไม่ธรรมดาแน่ เสิ่นกุยเยี่ยนหลับตานอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง ใครเล่าจะโง่เง่าถึงขนาดกินสารหนูเข้าไปมากเพียงนั้นแล้วยังไม่รู้ตัว ซิ่วเจวียนสาวใช้คนสนิทของมารดาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง บอกเพียงว่าตอนไปคารวะเสิ่นฮูหยินที่เรือน หลังฉินอี๋เหนียงกินอาหารเช้าที่นั่นเสร็จแล้วจึงมาเรือนนางเพื่อส่งเจ้าสาว จากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น
แต่นั่นเป็นเพียงคำพูด ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันแม้แต่นิดเดียว ใครเลยจะกล้ากล่าวหานายหญิงของจวนเล่า ตราบใดที่เสิ่นกุยเยี่ยนยังอยู่ในจวนสกุลเสิ่นก็ต้องตกอยู่ใต้การควบคุมของเสิ่นฮูหยิน จะกินจะใช้อะไร จะแต่งงานกับใคร นางจัดการเองไม่ได้เลยสักอย่าง
เว้นเสียแต่นางออกเรือนไปได้
ทว่าบัดนี้กู้เจาตงแต่งงานกับเสิ่นกุยหย่าเสียแล้ว นางจะแต่งกับใครเล่า แต่งกับเขาไปเป็นอนุภรรยาหรือ ก็เท่ากับหวนไปใช้ชีวิตในกำมือของเสิ่นกุยหย่าอีกน่ะสิ
นางขยุ้มผ้าปูเตียง เบิกตาพลางสูดหายใจสองครั้ง สวรรค์ไม่ปิดทางชีวิตคนหรอก จะต้องยังมีทางอื่นแน่
“ข้าคิดอยู่นานสองนานว่าเหตุใดเจ้าถึงปฏิเสธข้า”
เสียงบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นในห้อง
เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งเฮือก เสียงหวีดร้องเกือบหลุดออกจากปาก นางกอดผ้าห่มไว้กับตัวแน่น ลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วมองออกไปนอกม่านหน้าเตียง
ตะเกียงบนโต๊ะจุดสว่าง บุรุษสวมชุดแพรรัดเกี้ยวหยกผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังส่องคันฉ่องพลางพึมพำกับตนเอง “ตอนแรกนึกว่าเจ้ามีความชอบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร กลับไปส่องคันฉ่องถึงได้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ผู้น้อยนี่เอง”
คนผู้นั้นผินหน้ามามอง เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาคมคายปานวาดขึ้นมา เสิ่นกุยเยี่ยนผงะไปเล็กน้อย บทกวีที่อ่านเจอในตำราโบราณเมื่อหลายวันก่อนวาบเข้ามาในความคิดทันที
จงจือยกจอกร่ำสุรา เนตรเหลือบมองนภา ขาววาวเป็นเลื่อมแววไว ท่วงท่านุ่มนวลตรึงใจ ผิวผ่องเนียนดุจแก้วใส แช่มช้อยปานไม้ลู่ลม*
ทั้งที่เป็นบุรุษรูปงามถึงเพียงนี้ แต่ใบหน้ากลับประดับรอยยิ้มหยิบโหย่ง เขามองนางพลางพูด “เนื้อตัวเปียกฝนเสียจนหมดความหล่อเหลา พานทำให้คุณหนูตกใจด้วย ไหนตอนนี้ลองดูใหม่ซิ แต่งงานกับข้าคงไม่น่าลำบากใจนักแล้วใช่หรือไม่”
เสิ่นกุยเยี่ยนได้สติกลับมาแล้วถึงเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร “คุณชายสี่สกุลกู้?”
“ผู้น้อยกู้เจาเป่ย” เขากล่าว “คุณหนูช่างความจำดียิ่งนัก”
มือเล็กเอื้อมไปจับด้ามมีดสั้นที่เก็บไว้ข้างหมอนมานานเนิ่น นางแย้มยิ้มพลางมองคนนอกม่าน “คุณชายมาเยือนกลางดึกเช่นนี้มีธุระอันใดหรือ”
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องถาม พวกที่ย่องเข้าห้องส่วนตัวสตรีกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้มีแต่หัวขโมยหรือไม่ก็โจรเด็ดบุปผาเท่านั้นล่ะ
กู้เจาเป่ยลุกเดินมาที่หน้าเตียงพลางลูบคางตนเอง “ข้ากลับไปส่องคันฉ่องแล้วยังติดใจไม่หาย เลยล้างหน้าล้างตามาหาเจ้าอีกรอบ คุณหนูสามสกุลเสิ่น เทียบกับพี่ใหญ่แล้ว ข้าด้อยกว่ามากเลยหรือ”
เสิ่นกุยเยี่ยนอยากพยักหน้าเหลือเกิน แต่เวลาเช่นนี้นางจะยั่วโมโหอีกฝ่ายไม่ได้ จึงตอบยิ้มๆ “คุณชายสี่สกุลกู้เนื้อหอมไปทั้งเมืองหลวง ได้ยินว่าแม้แต่องค์หญิงตวนเหวินยังมีไมตรีให้ เช่นนี้คุณชายจะด้อยกว่าคุณชายใหญ่มากได้อย่างไร”
“อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ปฏิเสธข้าเล่า” กู้เจาเป่ยยิ้มแต่ปาก
นางกระถดไปข้างหลังเล็กน้อย “ใจข้าเป็นของคุณชายใหญ่สกุลกู้ ใช่จะแปรเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะเหตุนี้ข้าถึงได้ปฏิเสธคุณชาย”
“หัวใจเป็นของพี่ใหญ่?” คู่สนทนาเลิกคิ้วก่อนจะแค่นหัวเราะขึ้นจมูกทีหนึ่ง “พวกสตรีนี่ชอบฟังคำหวาน ชอบมองแต่เปลือกนอกของบุรุษเสียเหลือเกิน บุรุษเยี่ยงเขามีอะไรดี ต่อหน้าทำเหมือนรักเจ้าแทบเป็นแทบตาย ไม่แน่ว่าลับหลังอาจไปหวานชื่นกับหญิงอื่น แต่ยังแสร้งทำเป็นรักเดียวใจเดียวก็ได้”
เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะในคอพลางพยักหน้าเห็นพ้อง ในใจนึกย้อน…ท่านก็ไม่ผิดกันไม่ใช่หรือ
“แต่ข้าไม่ใช่” กู้เจาเป่ยเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าเสเพลจริง แต่ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็ไม่เคยหลอกผู้ใดด้วย หากบอกว่ามีสตรีรู้ใจอยู่นอกเรือนกี่สิบคนก็จะไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้นแม้แต่คนเดียว แม้จะทำตัวไร้ยางอาย ข้าก็ทำอย่างสง่าผ่าเผย”
มุมปากเสิ่นกุยเยี่ยนกระตุกริกๆ ทำตัวไร้ยางอายอย่างสง่าผ่าเผยก็เอามาอวดอ้างอย่างภูมิใจได้ด้วยหรือ
“คุณชายไม่ควรมาที่นี่กลางดึก” นางว่า “บุรุษที่ดีไม่ทำกันเช่นนี้”
“อ้อ?” กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว แล้วหันไปเหลือบมองบานหน้าต่างเป็นนัย “เจ้าแน่ใจนะ”
“ข้าแน่ใจ” เสิ่นกุยเยี่ยนกำด้ามมีดสั้นแน่น พร้อมแข็งใจเอ่ยเตือนยิ้มๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายปีนขึ้นมาบนเตียง “หากยังเข้ามาอีก คุณชายได้เห็นเลือดแน่”
เห็นเลือด? เพราะนางน่ะหรือ คุณหนูที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่เลือดจริงก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำกระมัง? กู้เจาเป่ยแค่นหัวเราะแล้วขยับเข้าไปหานางอย่างไม่เกรงกลัว
ภาพที่เห็นคือเสิ่นกุยเยี่ยนชักมีดสั้นออกมาอย่างว่องไว แล้วจ้วงแทงไหล่เขาโดยแรง
สตรีที่อยู่แต่ในห้องหอไหนเลยจะเคยกระทำเรื่องพรรค์นี้ ย่อมควบคุมน้ำหนักมือไม่ถูกอยู่แล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนเป็นเพราะกำลังห่วงปกป้องชื่อเสียงของตน น้ำหนักมือจึงหนักไปเล็กน้อย แม้จะแทงบ่าของอีกฝ่ายถนัดถนี่แต่ก็ไม่ถึงตาย
กู้เจาเป่ยอึ้งไปทันใดเพราะไม่คิดว่านางจะเอาจริง กว่าเขาจะรู้สึกตัวอีกที บ่าก็เจ็บฉกรรจ์พร้อมกับที่เลือดสดๆ ไหลโกรกออกมา
“เจ้า…”
นางแทงลงจริงหรือนี่!
เสิ่นกุยเยี่ยนชักมีดสั้นกลับมา ก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมากอดแน่นดังเดิมพลางมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณชายโปรดออกไปโดยเร็วเถิด หาไม่หากมีคนมาจะเป็นผลเสียต่อทั้งท่านและข้า”
กู้เจาเป่ยเอามือกุมบ่าพลางสูดหายใจลึกๆ สองที ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนใจ “เจ้าว่าคนที่มาเยือนกลางดึกจะต้องเป็นคนเลวสถานเดียวใช่หรือไม่”
“ไม่เช่นนั้นยังจะเป็นอย่างไรได้อีกเล่า” นางถลึงตาใส่
เขาโบกมือแล้วชี้หน้าต่างของห้องนอนยิ้มๆ
เสิ่นกุยเยี่ยนงงงัน หลังจากความเงียบปกคลุมห้องชั่วระยะเวลาสั้นๆ เสียงเคาะหน้าต่างก็พลันดังขึ้น