บทที่ 10 ท่านยังคงมั่น ข้าย่อมไม่ผันแปร
นางใจเต้นแรง มองกู้เจาเป่ยโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายนั้นฉีกยิ้มกว้างพร้อมนั่งลงบนขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว กำลังถอดเสื้อเพื่อสำรวจบาดแผล
“ท่านจะทำอะไร” เสิ่นกุยเยี่ยนลดเสียงลงพลางยื้อมือเขาไว้
ริมฝีปากของกู้เจาเป่ยซีดเผือด ดวงตาเหลือบมองนางพลางชี้แผลตนเอง
สีแดงฉานผุดซึมออกมาข้างนอกจนผ้าแพรชั้นดีเปียกชุ่มแล้ว เขาเพียงแค่จะขอถอดเสื้อดูแผลยังทำไม่ได้?!
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า มีบุรุษลอบเข้ามาในห้องนางกลางดึกไม่พอ หากยังสวมเสื้อผ้าไม่ครบชุดอีก ต่อให้นางกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน*
หน้าต่างถูกเคาะอีกครั้ง นางรีบหยิบเสื้อคลุมกันลมมาสวม เดินไปถามเบาๆ “นั่นใคร”
ความจริงเสิ่นกุยเยี่ยนไม่ต้องถามก็รู้ คราวก่อนกู้เจาตงก็มาหานางด้วยวิธีเดียวกันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็เป็นคืนแต่งงานของเขา เขาจะมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน
“เยี่ยนเอ๋อร์” เสียงด้านนอกดังผ่านลมหายใจหอบหนัก ดูท่าจะเร่งรุดมาที่นี่โดยไม่พักแม้แต่อึดใจเดียว
เพียงแค่ได้ยินเสียงเขา เสิ่นกุยเยี่ยนก็รู้สึกแสบร้อนในโพรงจมูกแล้ว นางเหลียวกลับไปมองกู้เจาเป่ย พบว่าคนผู้นั้นรู้กาลเทศะยิ่ง ไม่รู้หลบไปแอบที่ใดสักแห่งแล้ว
นางเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างแล้วเห็นกู้เจาตงยืนบนกันสาดชั้นหนึ่งอยู่ด้านนอก เหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า “เยี่ยนเอ๋อร์ ข้าไม่รู้ว่าคนที่แต่งด้วยวันนี้คือ…”
เสิ่นกุยหย่าถูกจับได้แล้วสินะ? นางหัวเราะเบาๆ พลางมองเขา “พวกท่านเข้าหอกันแล้วหรือ”
กู้เจาตงลำคอตีบตัน ดวงตาที่มองนางเต็มไปด้วยความรักใคร่ “เยี่ยนเอ๋อร์ ข้าทำเพราะถูกความจำเป็นบีบบังคับจริงๆ ในสถานการณ์เช่นนั้นจะให้ทั้งสองตระกูลเสียหน้าไม่ได้ เลยจำใจต้องแต่งงานกับหย่าเอ๋อร์…”
“ข้าถามว่าพวกท่านเข้าหอกันแล้วหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนผละถอยออกมาก้าวหนึ่ง มองไปยังนาฬิกาทรายในห้อง เวลานี้ยามจื่อ** พอดี น่าจะเข้าหอเรียบร้อยกันแล้วสินะ
หลังจากลังเลอยู่ชั่วอึดใจกู้เจาตงก็หลุบตาลงแล้วตอบ “ยังหรอก ได้ยินว่าน้องสี่มาก่อเรื่องที่จวนเจ้า ข้าเลยรีบมา”
เสิ่นกุยเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก “ในเมื่อยังไม่ได้เข้าหอก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยา หากใจท่านยังมีข้าอยู่จริงก็ไปพูดกับท่านพ่อให้รู้เรื่อง ส่งตัวหย่าเอ๋อร์กลับมาแล้วรับข้าไปแทน”
“คือ…” กู้เจาตงลนลานเล็กน้อย เขามองเด็กสาวผู้อ่อนหวานเรียบร้อย รู้ว่าอะไรควรไม่ควรมาโดยตลอด ก่อนจะเม้มปาก “พวกเราเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว หากส่งหย่าเอ๋อร์กลับมา นางจะอยู่มองหน้าผู้คนได้อย่างไร มิหนำซ้ำนางยังตั้งครรภ์บุตรของข้าแล้ว…”
แต่งเสิ่นกุยหย่ามาเป็นภรรยาเอก บุตรที่เกิดออกมาย่อมเป็นบุตรจากภรรยาเอก มีฐานะสูงส่งกว่าบุตรจากอนุของกู้เจาหนาน
ดวงตาของเสิ่นกุยเยี่ยนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นางพิจารณาบุรุษตรงหน้าใหม่อีกครั้งอย่างตกตะลึง “ในเมื่อท่านตั้งใจแล้วว่าจะเก็บน้องห้าไว้ ยังจะมาที่นี่อีกด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
เพ้อฝันว่าจะได้จับปลาสองมือหรือ
กู้เจาตงกระอักกระอ่วนด้วยไม่คิดว่าจะถูกนางถามเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าหลังจากประสบเคราะห์กรรมอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้เจอกันนางจะต้องรู้สึกอยากพึ่งพิงเขา ขอเพียงเขาเกลี้ยกล่อมเล็กน้อย นางก็จะตกปากตอบรับแม้ฝืนใจไปบ้าง เพราะถึงอย่างไรคนที่เขารักที่สุดก็คือนาง
สตรีควรถูกกล่อมง่ายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เหตุใดเยี่ยนเอ๋อร์ถึงเปลี่ยนไป กลายเป็นใจแข็งถึงเพียงนี้
“เยี่ยนเอ๋อร์ พวกเรารู้จักกันมาหลายปี เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวเจ้าก็ไม่อยากครองคู่กับข้าจนแก่เฒ่าแล้วหรือ” กู้เจาตงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถามอย่างเจ็บปวด “ผู้ใดกันที่เขียนกลอนบอกข้าว่า ‘หากท่านพี่เป็นศิลาตั้งตระหง่าน ขอนงคราญเป็นดอกหญ้าขึ้นเกาะหิน’ ”
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “หากท่านยังคงมั่น ข้าย่อมไม่ผันแปร ในเมื่อใจท่านเปลี่ยนไปแล้วจะเรียกร้องให้ใจข้ายังเหมือนเดิมได้อย่างไรเล่า”
กู้เจาตงสะท้านวาบ ทำท่าจะพูดอะไรต่อ ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนหับหน้าต่างลงเสียก่อน “คุณชายกู้กลับไปเถิด มัวชักช้าเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวฟ้าสางแล้วจะกลับไปไม่ทันยกน้ำชาจอกแรกคารวะผู้ใหญ่นะ”
“เยี่ยนเอ๋อร์!” กู้เจาตงเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่เสิ่นกุยเยี่ยนลงดาลหน้าต่างแล้วเดินกลับไปที่เตียง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ