ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 9-10
นางเอาแต่คิดอยู่ตลอดว่ากู้เจาตงจะมาหรือไม่ มาบอกนางว่างานแต่งงานในวันนี้ถือเป็นโมฆะ เพราะเขาประสงค์จะแต่งกับนางเพียงคนเดียว หลังจากนั้นบางทีเขาอาจช่วยสืบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของฉินอี๋เหนียง แล้วพานางไปให้พ้นจากจวนสกุลเสิ่น
ปรากฏว่าเขามาจริงๆ แต่มาหลังจากเข้าพิธีกับสตรีอีกนางไปแล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้โง่งม ใจเขามีความซื่อสัตย์อันใดกันเล่า หากมีนางอยู่จริง เขาจะยังแต่งงานกับเสิ่นกุยหย่าโดยไม่สนใจความรู้สึกนางได้หรือ
นางทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างมีโทสะ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงร้องอู้ ดูเหมือนนางจะนอนทับใครสักคนเข้า
กู้เจาเป่ยตลบผ้าห่มโผล่ศีรษะออกมาเผยสีหน้าแปลกๆ พลางเอามือกุมบ่ามองนาง
นัยน์ตาของเขาช่างลึกล้ำนัก ไม่รู้ใครกันเคยกล่าวไว้ว่าผู้มีใจกว้างขวางดวงตาย่อมลึกซึ้งดุจจำลองพิภพไว้ข้างใน เสิ่นกุยเยี่ยนมองเหม่อก่อนจะได้สติผละลุกออกมา
แผลที่บ่าไม่ได้ถูกพันไว้ เลือดจึงไหลออกมาเรื่อยๆ จนเลอะเตียงนอน เสิ่นกุยเยี่ยนไม่มีอารมณ์จะพูดด้วยให้มากความ ได้แต่กระซิบบอก “ไว้เขาไปเมื่อไร ท่านก็จากไปบ้างแล้วกัน”
กู้เจาเป่ยแค่นจมูกเบาๆ แล้วยกขาขึ้นทับอีกข้าง “ข้ายังดูเรื่องสนุกไม่หนำใจเลยนะ เมื่อครู่ใครกันบอกว่าคนที่มาเยือนกลางดึกต้องเป็นคนเลว เหตุใดไม่แทงเขาบ้างเล่า”
เด็กสาวกลอกตาอย่างเหลืออด “เขากับท่านเหมือนกันหรือ”
ถึงอย่างไรกู้เจาตงกับนางก็รู้จักกันมาหลายปี ส่วนกู้เจาเป่ยเรียกว่าเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกวันนี้เอง
อีกฝ่ายหลุบตาลงนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้า “ไม่ค่อยเหมือนกันจริงๆ เขาสารเลวกว่าข้านัก”
เสิ่นกุยเยี่ยนถลึงตาใส่แล้วดึงผ้าห่มของตนเองออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ลงไปเสีย”
กู้เจาเป่ยร้องครางในคอก่อนจะเอามือกุมบ่าแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ทำให้ข้าบาดเจ็บนะ อ่อนโยนกับข้าบ้างไม่ได้หรือไร”
“ท่านทำผิดก่อนต่างหาก” นางมองบ่าของอีกฝ่าย สุดท้ายก็ทนใจแข็งไม่ไหว หันไปหยิบยาใส่แผลมา
“เยี่ยนเอ๋อร์ นั่นเจ้าคุยกับใครอยู่” กู้เจาตงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงอดถามขึ้นไม่ได้
ยังไม่ไปอีกหรือนี่ กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชั้นสอง ไม่ง่ายเลยที่คนจะเกาะอยู่ด้านนอก
เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งวาบ ระหว่างอ้าปากค้างไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี คนบนเตียงก็ตวัดตัวลงมาเดินดุ่มๆ ไปทางหน้าต่างแล้ว
“ท่านจะทำอะไร” นางปรี่เข้าไปขวางไว้
กู้เจาเป่ยเดาะลิ้น ‘จิ๊’ แล้วคว้าแขนนางพาไปเปิดหน้าต่างด้วยกัน ภาพที่ปรากฏด้านนอกคือใบหน้าของพี่ชายคนโต เขาคลี่ยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วตะโกนออกไปนอกหน้าต่าง
“มาจับขโมยเร็ว!”
เพียงเห็นน้องชายโผล่มา กู้เจาตงก็หน้าเปลี่ยนสีพอแล้ว พออีกฝ่ายตะโกนเช่นนั้น เขาก็แทบจะพลัดตกจากกันสาด “น้องสี่?!”
ฝนหยุดตกแล้ว เสียงของกู้เจาเป่ยลอยไปไกลลิบ ปลุกผู้คนในเรือนต่างๆ ให้สะดุ้งตื่น เป่าซั่นลนลานสวมเสื้อคลุมออกมาดูก่อนเห็นว่าในห้องส่วนตัวของคุณหนู คุณชายสี่สกุลกู้กำลังจับใครคนหนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนา เหมือนเป็นตายอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อยมือ ซ้ำยังมีแก่ใจตะโกนต่อไป “รีบมาจับขโมยเร็ว!”
คนที่อยู่นอกหน้าต่างดิ้นขลุกขลัก ทว่าไม่กล้าดิ้นแรงเกินไปนัก เพราะหากเคราะห์ร้ายกู้เจาเป่ยปล่อยมือขึ้นมาก็ร่วงตกจากชั้นสองกันพอดี
เหล่าคนสกุลเสิ่นที่เพิ่งเข้านอนได้ไม่ทันไรถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วยกโขยงมาที่หอนางแอ่นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอพ่อบ้านเห็นคนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างเข้าก็อุทานเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณชายกู้?!”
คุณชายจวนอัครเสนาบดีจะต้องมีชะตากับคุณหนูสามสกุลเสิ่นเป็นแน่แท้ แรกเริ่มเพียงคุณชายใหญ่ ต่อมาก็คุณชายสี่ สุดท้ายมาพร้อมกันสองคนเลยทีเดียว
แม้แต่นายผู้เฒ่าเสิ่นก็ไม่ได้นอนอย่างเป็นสุข ต้องห่มเสื้อคลุมพาเสิ่นฮูหยินมาดูเหตุการณ์
ตั้งแต่ได้ยินกู้เจาเป่ยตะโกนประโยคแรก เสิ่นกุยเยี่ยนก็ตระหนักว่าตนเองจบสิ้นแน่แล้ว บุรุษสองคนโผล่มาอยู่ที่เรือนนาง คนหนึ่งอยู่ด้านใน คนหนึ่งอยู่ด้านนอก ซ้ำยังยื้อยุดกัน หนีไปที่ใดไม่ได้ทั้งคู่ แล้วผู้ใดกันเล่าที่เดือดร้อน ก็นางน่ะสิ
คนทุเรศกู้เจาเป่ยไม่รู้จักคำนึงถึงชื่อเสียงสตรีเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงได้ลากนางลงโคลนด้วยเช่นนี้!
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งรอความตายได้หรือไม่เล่า…ย่อมไม่ได้แน่นอน หากยังปล่อยให้สองพี่น้องทำตามอำเภอใจต่อไป นางได้ตายเพราะพวกเขาจริงๆ แน่
ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เสิ่นกุยเยี่ยนใช้มือยีผมจนยุ่ง ดึงชุดนอนให้เผยออ้า ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วกลิ้งไปกอดผ้าห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
สองพี่น้องสกุลกู้ผงะอึ้ง กู้เจาเป่ยเหลียวไปมองเด็กสาวแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะที่กู้เจาตงหน้าเสียไปถนัดตา “เยี่ยนเอ๋อร์…”
คนสกุลเสิ่นแห่มากันแล้ว พอเข้ามาถึงก็เห็นฉากอลหม่านวุ่นวายนั้นพอดี
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” นายผู้เฒ่าเสิ่นมองบุตรสาวที่อยู่บนเตียง ไม่มีอารมณ์มาห่วงแล้วว่าตรงหน้าต่างคือคุณชายบ้านใด ในเมื่อโผล่เข้ามาอยู่ในห้องนอนบุตรสาวเขากลางดึกเช่นนี้ ยังจะให้เขาเกรงอกเกรงใจได้อีกหรือ
เสิ่นฮูหยินตาไวเห็นคราบเลือดบนเตียง จึงรีบปรี่เข้าไปถาม “เยี่ยนเอ๋อร์ นะ…นี่ฝีมือของผู้ใด”
กู้เจาเป่ยแหวกสาบเสื้อพี่ชายออก แล้วดึงเสื้อคลุมกันลมของอีกฝ่ายมาใส่เสียเอง จากนั้นก็เหลือบตามองฟ้าทำไม่รู้ไม่ชี้
เสิ่นกุยเยี่ยนสะอึกสะอื้นพลางยกนิ้วสั่นเทาชี้มาทางกู้เจาเป่ย “คุณชายสี่สกุลกู้เขา…”
เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้แล้ว เท่าที่อึกๆ อักๆ ออกมาครึ่งประโยคก็เกินพอ สายตาของทุกคนในสกุลเสิ่นมองตรงไปทางหน้าต่าง
กู้เจาเป่ยถอนหายใจเฮือก “ช้าเร็วอย่างไรเยี่ยนเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงานกับผู้น้อย ผู้น้อยแค่ใจร้อนไปสักหน่อย อย่างไรเสียผู้น้อยก็ยังหนุ่มยังแน่น เลือดลมเลยพลุ่งพล่าน แต่พี่ใหญ่นี่สิ คืนนี้ต้องเข้าห้องหอแท้ๆ แต่มาหาภรรยาข้าถึงห้องนอนกลางดึกด้วยเหตุใด”
* ‘จงจือยกจอกร่ำสุรา เนตรเหลือบมองนภา ขาววาวเป็นเลื่อมแววไว ท่วงท่านุ่มนวลตรึงใจ ผิวผ่องเนียนดุจแก้วใส แช่มช้อยปานไม้ลู่ลม’ มาจากกลอน ‘บทเพลงแปดเซียนร่ำสุรา’ ประพันธ์โดยตู้ฝู่ หนึ่งในกวีผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ถัง กลอนข้างต้นเป็นการพรรณนาถึงท่วงท่าการร่ำสุราของชุยจงจือ กวีผู้มีฉายาเป็นหนึ่งในแปดเซียนสุราสมัยถัง
* กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน หมายถึงยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำหวงเหอมีสีเหลืองขุ่น เดิมทีใช้อุปมาว่าลงไปล้างตัวในแม่น้ำหวงเหอไม่มีทางสะอาดได้ ยิ่งล้างก็ยิ่งเลอะ แต่นานวันเข้าก็เพี้ยนมาเป็นต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทินได้
** ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.