ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 9-10
หลี่หลิงหว่านที่อยู่ใจกลางพายุของเรื่องราวก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเพียงแค่เหม่อลอยไปพริบตาเดียวนางจะกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนเช่นนี้แล้ว แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้มีสายตามากกว่านี้จับจ้อง นางก็ยังต้องพูดประโยคนั้น
ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงฝืนแสดงท่าทีคารวะท่านเจ้าอาวาสกลับอย่างสงบนิ่ง
คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าอาวาสกลับขยับตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่ยอมรับการคารวะจากนางโดยสิ้นเชิง “การคารวะของท่าน อาตมารับไม่ไหว”
หลี่หลิงหว่านจึงกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนอีกครั้ง
ขอร้อง ต้าซือ ท่านอย่าได้เป็นเช่นนี้เลย หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีกล่ะก็ คนเหล่านั้นจะมองข้าอย่างไรเล่า
นางไม่กล้าคารวะท่านเจ้าอาวาสอีก จึงเอ่ยประโยคที่ก่อนหน้านี้นางอยากจะพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าอ่านตำรา อ่านเจอประโยคหนึ่งเข้า ‘รู้แจ้งไม่กล่าวแจ้ง’ เรียนถามต้าซือ ประโยคนี้ควรจะอธิบายเช่นไรหรือเจ้าคะ”
ท่านเจ้าอาวาสเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีสายตากว้างไกลผู้หนึ่ง ประโยคนี้ของหลี่หลิงหว่านเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ยามนั้นเขายิ้มน้อยๆ พร้อมผงกศีรษะ หันกลับไปชี้ที่พระพุทธรูปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
หลี่หลิงหว่านเงยหน้ามองไปก็เห็นพระพุทธรูปองค์นั้นสองมือประสาน ดวงตาหลุบลง สีหน้าเมตตากรุณา
พระองค์มีความเมตตาอารี มองทะลุปรุโปร่งในทุกสรรพสิ่ง ชีวิตมนุษย์แตกต่างหลากหลาย แต่กลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดทั้งนั้น แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ย
ไม่ว่าจะเป็นการเกิดแก่เจ็บตาย ความรักหรือความแค้น ล้วนร้องขอไม่ได้ ปล่อยวางไม่ลง หากมองกระจ่างแล้วก็เป็นแค่เรื่องเท่านี้ เพียงแค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ
หลี่หลิงหว่านยกสองมือพนม นางไม่กล้าคารวะท่านเจ้าอาวาสอีก เพียงแค่ผงกศีรษะเล็กน้อย ทว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณต้าซือมากเจ้าค่ะ”
จากนั้นนางก็ถอยกลับไปเงียบๆ
หลี่เหวยหยวนที่อยู่ด้านหลังแววตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง ก่อนที่ในใจเขาจะนิ่งสงบ เขาเคยพูดแล้วว่าจะไม่สนใจอีกต่อไปว่าหลี่หลิงหว่านมีความเป็นมาอย่างไร จากนี้เขาก็จะไม่ไปสนใจที่มานั้นอีก เขาเพียงแต่ต้องปกป้องนางให้ดี ให้วันข้างหน้านางสามารถอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบสุขและมีความสุขได้ก็พอ
ทว่าในใจฉุนอวี๋ฉีกลับมีข้อสงสัยมากมายผุดขึ้นมาอีกระลอก
เมื่อรวมเข้ากับประโยคที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยกับท่านเจ้าอาวาสในตอนกลางวันแล้ว ‘รู้แจ้งไม่กล่าวแจ้ง’ ห้าคำนี้ที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยปิดบังเรื่องบางอย่าง
ท่านเจ้าอาวาสมองเห็นเรื่องใดของนางกระจ่างแจ้งกันแน่ และนางที่เป็นสตรีซึ่งออกจากจวนไม่บ่อยนัก ที่สุดแล้วมีเรื่องราวต้องห้ามใดที่ไม่อาจให้คนรอบข้างรับรู้ได้เล่า เหตุใดท่าทีที่ท่านเจ้าอาวาสปฏิบัติต่อนางจึงเคารพนอบน้อมถึงเพียงนี้
ฉุนอวี๋ฉีรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีหมอกหนารายล้อม เมื่อมองหลี่หลิงหว่านผ่านชั้นหมอกหนานี้ เขาก็ยิ่งมองนางไม่กระจ่างมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งรู้สึกว่านางลึกลับมากขึ้นไปอีก
ทว่าคนอื่นๆ ภายในอุโบสถต่างไม่รับรู้เรื่องที่ท่านเจ้าอาวาสกับหลี่หลิงหว่านเคยพบกันเมื่อตอนกลางวัน แม้จะเห็นท่านเจ้าอาวาสมีท่าทีอ่อนน้อมต่อหลี่หลิงหว่าน ในใจตกตะลึงอยู่ก็จริง แต่กับประโยค ‘รู้แจ้งไม่กล่าวแจ้ง’ ที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยถามนี้กลับไม่ได้เกิดความสงสัยขึ้นมาแต่อย่างใด
บางทีตอนที่นางอ่านตำรา พอเห็นประโยคนี้แล้วในใจก็ไม่กระจ่างจริงๆ ในเมื่อเห็นท่านเจ้าอาวาสเป็นยอดคนซึ่งรอบรู้ไปทุกสิ่ง ดังนั้นจึงได้ขอคำชี้แนะจากเขา
ทว่าหลี่ซิวป๋อกลับมีสีหน้าค่อนข้างจืดเจื่อน
เมื่อชั่วขณะก่อนหน้าเขาเพิ่งต่อว่าหลี่หลิงหว่านไปเช่นนั้น แต่ต่อมาท่านเจ้าอาวาสกลับเคารพนอบน้อมต่อหลี่หลิงหว่านทันที ถึงขั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเอ่ยสนทนากับท่านเจ้าอาวาสอย่างนอบน้อม ฝ่ายหลังก็เพียงแค่เหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างเฉยชาที่สุดเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว
ในใจหลี่ซิวป๋อรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าทุกคนอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าตอนนี้เขาเองก็ไม่กล้าอาละวาด เพียงแค่ยืนอย่างสงบเรียบร้อยอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า ฟังฮูหยินผู้เฒ่าสนทนากับท่านเจ้าอาวาสต่อไป
ฮูหยินผู้เฒ่าศรัทธาในพระพุทธองค์ ทั้งยังรู้สึกว่าชะตาชีวิตคนถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ยามใดจะรุ่งโรจน์ ยามใดจะพบคนชั้นต่ำ ล้วนถูกกำหนดมาแต่แรกแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากให้ยอดคนช่วยทำนายชะตาชีวิตให้ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมในชีวิตได้ทั้งหมดแล้ว
และท่านเจ้าอาวาสก็เป็นยอดคนในหมู่ยอดคนพอดี ตลอดมาฮูหยินผู้เฒ่าจึงอยากจะให้เขาทำนายชะตาชีวิตให้คนในครอบครัวมาโดยตลอด
ในนิยายท่านเจ้าอาวาสเคยทำนายชะตาชีวิตให้คนสกุลหลี่เพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือหลี่หลิงเยี่ยน อีกหนึ่งคือหลี่เหวยหยวน เนื่องจากยามที่มองเห็นพวกเขาทั้งสองคนแล้วล้วนตกตะลึงยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายทำนายชะตาชีวิตออกมาเองก่อน แต่วันนี้หลังจากท่านเจ้าอาวาสมองหลี่หลิงเยี่ยน หลี่เหวยหยวน และหลี่หลิงหว่านแล้ว สำหรับคำร้องขอของฮูหยินผู้เฒ่าที่ให้ทำนายชะตาชีวิตนั้น เขาทำเพียงส่ายศีรษะ ทั้งยังถอนหายใจแล้วปิดตาลง ไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้าบังคับท่านเจ้าอาวาส นางจึงทำได้เพียงเอ่ยอย่างนอบน้อม “รบกวนท่านเจ้าอาวาสแล้ว”
จากนั้นจึงนำทุกคนในครอบครัวลากลับเข้าไปในเรือนพักด้านหลัง ก่อนจากไปฮูหยินผู้เฒ่ายังเชื้อเชิญฉุนอวี๋ฉีให้ไปนั่งสนทนาด้วยกันสักพักหนึ่ง ทว่าฉุนอวี๋ฉีย่อมมองออกว่านางเพียงแค่เอ่ยตามมารยาทเท่านั้น เขาจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยปฏิเสธ พาฉางชิงหมุนกายจากไป
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ก.ค. 62)