คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลี่หลิงเจียว “ช่างเถอะ น้องหก ต่อให้ในใจเจ้าจะไม่ชอบพี่สามเพียงใด แต่ฉากหน้าอย่างน้อยก็ต้องประคับประคองให้ผ่านไปให้จงได้ อย่าให้ในใจนางรู้สึกเกลียดชังเจ้าขึ้นมาเลย”
ในนิยายช่วงแรกหลี่หลิงหว่านวางให้หลี่หลิงเยี่ยนเป็นเหมือนกับดอกชาเขียวดอกหนึ่งที่ภายนอกดูบริสุทธิ์วางตัวดี แต่ยามที่ลงมือทุกครั้งล้วนมีเป้าหมายชัดเจน รู้จักแก่งแย่ง ทั้งยังรู้จักพูด คนที่อยู่รอบกายนางไม่มีผู้ใดไม่รู้สึกว่าสบายใจ ทว่าช่วงหลังหลี่หลิงเยี่ยนก็จะเปลี่ยนไปสู่ด้านมืดบ้างแล้ว รู้จักใช้หลี่เหวยหยวน ฉุนอวี๋ฉี เหลียงเฟิงอวี่ และคนอื่นๆ ไปกำจัดอุปสรรคที่กำลังขวางทางนางได้อย่างแนบเนียน ดังนั้นจุดจบของการล่วงเกินหลี่หลิงเยี่ยนจึงไม่ดีนัก หลี่หลิงหว่านในนิยายเดิมก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง
ส่วนหลี่หลิงเจียวในนิยายนั้น นางกับหลี่หลิงหว่านเป็นพี่น้องที่ร่วมมือกันทำเรื่องชั่ว มีหน้าที่หาเรื่องหลี่หลิงเยี่ยนตอนที่อีกฝ่ายยังอยู่ในจวนสกุลหลี่โดยเฉพาะ แน่นอนว่าสุดท้ายจุดจบของหลี่หลิงเจียวย่อมไม่ดีนัก ทว่ากลับไม่ได้ตาย หลี่หลิงเยี่ยนใช้ลูกไม้เล็กน้อยให้หลี่หลิงเจียวได้แต่งกับสามีที่นิสัยไม่ดี ทำให้นางต้องได้รับความทรมานไปทั้งชีวิต
ยามนี้หลี่หลิงหว่านได้ยินหลี่หลิงเจียวเอ่ยถึงหลี่หลิงเยี่ยนเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกสลับซับซ้อนอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ควรพยายามไม่สร้างความแค้นกับหลี่หลิงเยี่ยนจึงจะดีที่สุด อย่างน้อยฉากหน้าก็ต้องประคับประคองไปให้รอด แม้หลี่หลิงเยี่ยนจะน่ากลัว แต่ตำหนักในของนางน่ากลัวกว่า คนในตำหนักในของนางเหล่านั้นไม่ว่าเป็นผู้ใด เพียงลงมือแค่เล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ตนเองกับหลี่หลิงเจียวไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้แล้ว
แต่หลี่หลิงเจียวไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางยังคงเอ่ยต่ออย่างสะใจ “ฮ่าๆ ข้ากลัวนางแค้นข้า? นางก็แค่ลูกอนุคนหนึ่งเท่านั้น นางจะสูงส่งไปกว่าบุตรภรรยาเอกเช่นข้าได้หรือ”
หลี่หลิงหว่านถอนหายใจโดยไม่กล่าวอะไรอีก
หลี่หลิงเจียวช่างหาเรื่องตายโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
หลังจากที่เอ่ยสนทนาเสียงเบาตลอดเส้นทาง พวกนางก็มาถึงอุโบสถใหญ่แล้ว
แม้จะใกล้พลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด แต่ในอุโบสถใหญ่ยังคงจุดเทียนส่องสว่างไปทั่วราวกับเป็นยามกลางวัน ทั้งยังมีภิกษุกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง หลับตาท่องบท ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ ที่หน้าสุดยังมีภิกษุอีกรูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง มือหนึ่งถือลูกประคำ ขณะที่ท่องบทสวดก็ขยับนิ้วเลื่อนลูกประคำในมือตนเองตามจังหวะอย่างช้าๆ ไปด้วย
ภิกษุผู้นี้ก็คือท่านเจ้าอาวาส เขาไม่ได้แต่งกายเช่นภิกษุพเนจรที่สวมชุดจื๋อตัวสีน้ำตาลแดงเก่าขาด สวมงอบบนศีรษะ มือถือกระบองไม้ เท้าใส่รองเท้าสานเหมือนกับที่หลี่หลิงหว่านได้เห็นยามกลางวันอีกแล้ว หากแต่ห่มจีวรครบชุด ใบหน้าสงบนิ่งเปี่ยมด้วยเมตตาอารีดั่งภิกษุชั้นสูง
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าคาดไม่ถึงว่าจะได้มาพบท่านเจ้าอาวาสในอุโบสถใหญ่แห่งนี้ นางจึงรีบร้อนให้ซวงหงประคองตนเดินขึ้นหน้าไป ก่อนจะค้อมกายลงคารวะท่านเจ้าอาวาสพร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อม “คารวะท่านเจ้าอาวาสเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าอาวาสลืมตาขึ้น บนใบหน้าแฝงรอยยิ้ม ผงกศีรษะให้นาง หลังจากทักทายกันแล้วเขาก็หลับตาลงอีกครั้งพลางเลื่อนลูกประคำในมือตนเองอย่างช้าๆ พร้อมกับท่องบทสวด
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้ารบกวนเขาทำวัตรเย็น จึงนำทุกคนในครอบครัวเดินไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ภายในอุโบสถใหญ่ก่อน
ภาพกลุ่มภิกษุที่กำลังท่องบทสวดมนต์ช่างจริงจังเปี่ยมด้วยความขลังจริงๆ ต่อให้ครั้งก่อนที่มาวัดเฉิงเอินหลี่หลิงหว่านจะไม่ได้กราบไหว้พระโพธิสัตว์จริงจังอะไร แต่ยามนี้นางก็คุกเข่าก้มกราบพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ในอุโบสถใหญ่แห่งนี้อย่างอดไม่ได้
รอจนหลี่หลิงหว่านลุกขึ้นหลังกราบไหว้พระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายในอุโบสถใหญ่แล้ว นางก็มองเห็นฉุนอวี๋ฉี ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาอยู่ในอุโบสถตั้งแต่ยามใด สองมือสอดอยู่ในแขนเสื้อ ยืนอยู่ข้างบานประตูสีแดงชาด
เบื้องหลังเขาคือผืนฟ้ายามพลบค่ำ สายลมกลางคืนของฤดูร้อนพัดผ่าน ทำให้เปลวเทียนภายในอุโบสถวูบไหวไปมา และโบกสะบัดชายเสื้อสีฟ้านวลของเขา
“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหลี่เองก็ศรัทธาในพระพุทธองค์เช่นกัน” แม้บนใบหน้าของฉุนอวี๋ฉีจะประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจ