หลี่เหวยหยวนกำลังจะกราบไหว้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินก็ทำราวกับไม่รู้สึกว่าถูกรบกวนอย่างไรอย่างนั้น เขายังคงสะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงบนเบาะรอง รอจนโขกศีรษะอย่างนอบน้อมไปสามครั้งแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะบูชาที่ทำจากไม้พะยูงหอมเบื้องหน้า
“เมื่อหัวใจมีความปรารถนา ย่อมมีคำอธิษฐาน” หลี่เหวยหยวนหยิบธูปเส้นสามดอกขึ้นมาจากกระบอกธูป แล้วเคลื่อนเข้าใกล้ตะเกียงแก้วบนโต๊ะบูชาด้านหน้าพระโพธิสัตว์เพื่อจุดไฟ พร้อมเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่เหมือนใต้เท้าฉุนอวี๋ หัวใจไร้ความปรารถนา ย่อมไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้มีเทพเซียนอยู่”
“ใต้เท้าหลี่รู้จักประโยคหนึ่งหรือไม่ ‘ขอร้องผู้อื่นมิสู้ลงมือทำเอง’ ”
“ใต้หล้านี้มีเรื่องที่ช่วยไม่ได้อยู่มากมาย ใช่ว่าแค่ลงมือทำเองแล้วจะทำได้” หลี่เหวยหยวนนำธูปเส้นในมือปักลงในกระถางธูปทองแดง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับฉุนอวี๋ฉีแล้วยิ้มน้อยๆ “ข้ามีความปรารถนาหนึ่ง หากเป็นจริงได้จะยินดีเข้าวัดไหว้พระไปตลอดชีวิต”
เพียงขอให้หว่านวานสามารถอยู่ข้างกายข้าอย่างสงบสุขได้ทุกวัน มีเพียงความปรารถนาเดียวนี้เท่านั้น
ฉุนอวี๋ฉีหัวเราะเบาๆ “เดิมทีแก่นแท้ของทุกคนล้วนเป็นเซียน เพียงแต่ถูกกิเลสบดบังจึงเข้าไม่ถึง ความปรารถนาในใจทั้งหมดก็เป็นแค่กิเลสเท่านั้น เหตุใดใต้เท้าหลี่จึงไม่ปล่อยวางกิเลสในใจลงเล่า ท่านย่อมสามารถกลายเป็นเซียน จิตใจใสกระจ่างได้”
ท่ามกลางเปลวเทียนวูบไหว หลี่เหวยหยวนยิ้มบางๆ พลางเหลือบมองหลี่หลิงหว่านคราหนึ่ง
หลี่หลิงหว่านมีสีหน้าวิตกกังวล ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉุนอวี๋ฉีจึงกล่าวคำพูดยกตนข่มท่านเช่นนี้ ดังนั้นสายตาที่นางมองไปยังเขาจึงเต็มไปด้วยความกังวล
หลี่เหวยหยวนยิ้มปลอบโยนนาง จากนั้นจึงหันหน้ามาทางฉุนอวี๋ฉี ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “กิเลสนี้จนวันตายข้าก็ไม่ยอมปล่อยวาง”
ข้าไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมกลายเป็นเซียน ไม่ยอมให้จิตใจใสกระจ่าง เพียงปรารถนาจะจับมือหว่านวานไปทั้งชีวิต
แววตาฉุนอวี๋ฉีพลันดำมืดลง สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อบีบกันแน่น
ยามนั้นหลี่เหวยหยวนไม่สนใจฉุนอวี๋ฉีอีกต่อไป เขาเดินไปข้างกายหลี่หลิงหว่านแล้วก้มหน้าอมยิ้มเอ่ยเสียงเบากับนาง
ตอนนี้เองฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ ก็ได้เข้ามาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับฉุนอวี๋ฉีแล้ว
แม้การสอบเตี้ยนซื่อฉุนอวี๋ฉีจะสอบได้เป็นบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งลำดับสอง และได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต ขุนนางลำดับหลักขั้นเจ็ดเท่านั้น ตำแหน่งขั้นต่ำกว่าหลี่เหวยหยวนไม่พูดถึง กระทั่งยังต่ำกว่าหลี่ซิวป๋อหลายส่วน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นหย่งฮวนโหวซื่อจื่อ เส้นทางขุนนางในวันหน้าย่อมมีแต่ขยับเลื่อนขึ้น อนาคตกว้างไกลไร้ขอบเขต ฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าดูแคลน
หลังต่างฝ่ายต่างไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ภิกษุทางด้านนั้นก็ทำวัตรเย็นเสร็จพอดี ฮูหยินผู้เฒ่าจึงนำบุตรหลานทุกคนไปขอพบท่านเจ้าอาวาส ด้วยคิดอยากให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยทำนายชะตาชีวิตให้พวกเขา
หลี่หลิงหว่านเห็นดังนั้นในใจพลันรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที
หากท่านเจ้าอาวาสบอกว่าหลี่หลิงเยี่ยนมีชะตาหงส์ก็แล้วไป แต่นางกลัวจริงๆ ว่าท่านเจ้าอาวาสจะเอ่ยว่าหลี่เหวยหยวนมีชะตาพิฆาต ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนเป็นกาลกิณี เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ จะมองหลี่เหวยหยวนเป็นเช่นไรอีก
ทว่านางยังคิดในอีกมุม ตอนนี้หลี่เหวยหยวนไม่เหมือนแต่ก่อน เขามีตำแหน่งขุนนางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่กล้าทำอะไรเขา มิหนำซ้ำเขาเองก็โตแล้ว เด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีได้รับตำแหน่งขุนนางลำดับรองขั้นหก เส้นทางขุนนางในอนาคตย่อมสว่างไสว ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูถูกเขาเพียงไร แต่จากความสามารถของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ด้วยตนเองแล้ว
ก่อนที่หลี่หลิงหว่านจะเปลี่ยนมาวิตกกับอีกเรื่องหนึ่งแทน