บทที่สิบเอ็ด
ฮูหยินผู้เฒ่าพาทุกคนกลับไป เป็นเพราะให้ท่านเจ้าอาวาสทำนายชะตาชีวิตแก่คนในครอบครัวไม่สำเร็จ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ขณะนั้นหลี่ซิวป๋อค่อนข้างรู้สึกอับอายจนพาลโกรธอยู่บ้าง เขาจึงเปิดปากตำหนิหลี่หลิงหว่าน “ล้วนเป็นเพราะบุตรสาวอกตัญญูเช่นเจ้า ก่อนหน้านี้เอ่ยคำพูดจำพวกรู้แจ้งไม่กล่าวแจ้งเช่นนั้นกับท่านเจ้าอาวาสออกมา ตอนที่ท่านแม่เรียนเชิญท่านเจ้าอาวาสทำนายชะตาชีวิตให้ ท่านเจ้าอาวาสถึงได้ไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ การได้หักหน้าท่านย่าเจ้าต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ในใจเจ้ามีความสุขหรือ”
หลี่หลิงหว่านยิ้มเย็น
อะไรคือหักหน้าท่านย่าต่อหน้าทุกคน เห็นๆ กันอยู่ว่าหักหน้าเจ้าหลี่ซิวป๋อต่อหน้าทุกคนต่างหาก เจ้าถึงได้อับอายจนพาลโกรธเพียงนี้
ด้วยความโมโห หลี่หลิงหว่านจึงไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก เพียงเอ่ยปากโต้เถียงออกไป “ท่านพ่อเรียกข้าว่าบุตรสาวอกตัญญู บุตรสาวกลับอยากเรียนถามท่านพ่อ ข้าอกตัญญูต่อท่านด้วยเรื่องใหญ่ใดหรือ”
ถึงแม้หลายเดือนมานี้นับแต่กลับมายังเมืองหลวงหลี่ซิวป๋อจะไม่ได้พบหน้าหลี่หลิงหว่านเท่าไรนัก แต่ในความทรงจำไม่ว่าเขาจะเอ่ยอะไรหลี่หลิงหว่านก็ล้วนแต่ก้มหน้าก้มตายอมรับ ไม่เคยโต้เถียงเขาเลยสักครั้ง ทว่ายามนี้นางถึงกับกล้าโต้เถียงเขาต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้อย่างเปิดเผย เขายังจะรักษาหน้าตาอยู่อีกได้อย่างไร
“ช่างทรพีจริงๆ ในฐานะบุตรสาวถึงกับกล้าโต้เถียงบิดาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เจ้าดูตนเองเสียบ้าง มีความอ่อนหวานสง่างามเฉกเช่นที่สตรีพึงมีบ้างหรือไม่ มีอะไรแตกต่างจากเด็กสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากัน!”
พูดด้วยความโมโหจบก็เงื้อมือขึ้น ฝ่ามือนี้ของเขาสะบัดตบลงมาอย่างรวดเร็วยิ่ง
ยามนั้นโจวซื่อหวีดร้องออกมา แต่นางอยู่ไกลเกินไปจึงทำอะไรไม่ทัน โชคดีที่หลี่เหวยหยวนอยู่ด้านหลังหลี่หลิงหว่านมาโดยตลอด ทันทีที่เขาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีก็รีบขึ้นมาบังอยู่ด้านหน้าหลี่หลิงหว่าน ปกป้องนางให้อยู่ที่ด้านหลังของตนเองอย่างแน่นหนา
เสียงเพียะดังลั่น ฝ่ามือนี้ของหลี่ซิวป๋อตบลงบนแก้มซีกซ้ายของหลี่เหวยหยวนเต็มๆ
ฝ่ามือนี้ของหลี่ซิวป๋อออกแรงหนักมาก ต่อให้เป็นหลี่เหวยหยวนก็ยังถูกเขาตบจนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลันรู้สึกว่าแก้มซ้ายชา ในปากมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย สามารถจินตนาการได้ว่าหากฝ่ามือนี้ตบลงบนใบหน้าหลี่หลิงหว่าน นางจะต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่
ยามนี้หลี่เหวยหยวนเองก็ไม่พูดจา เขาเพียงกลืนเลือดสดๆ ในปากลงไปเงียบๆ ทว่านัยน์ตาที่หลุบลงกลับเย็นชาเป็นที่สุด
หลังฝ่ามือนี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งงันไปอย่างเห็นได้ชัด ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบกริบ มีเพียงเสียงแมลงฤดูร้อนจากพุ่มไม้ทั้งใกล้และไกลดังขึ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ยังคงเป็นหลี่หลิงหว่านที่มีอาการตอบสนองขึ้นมาก่อน นางยื่นมือไปเกี่ยวแขนหลี่เหวยหยวน แล้วกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ ร้องไห้โดยไร้สุ้มเสียง
หลี่หลิงเยี่ยนเองก็ได้สติกลับมา นางรีบเดินขึ้นหน้ามาดูใบหน้าหลี่เหวยหยวน เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ เจ็บหรือไม่”
แต่หลี่เหวยหยวนไม่ได้สนใจหลี่หลิงเยี่ยนแม้แต่น้อย เห็นนางยกมือขึ้นมาเหมือนจะลูบหน้า เขาก็เบี่ยงหลบมือของนางที่ต้องการเอื้อมมาจับแก้มเขาไปอย่างแนบเนียน
หลี่หลิงเยี่ยนชักมือกลับอย่างจืดเจื่อนอยู่บ้าง ก่อนที่นางจะกลับตัวหันไปมองหลี่ซิวป๋อ แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงแฝงแววตำหนิ “ท่านพ่อ!”
หลี่ซิวป๋อเองก็คาดไม่ถึงว่าฝ่ามือนี้สุดท้ายจะตบลงบนใบหน้าของหลี่เหวยหยวน
กับหลี่เหวยหยวนหลานชายผู้นี้หลี่ซิวป๋อให้ความสำคัญค่อนข้างมาก อย่างไรหลี่เหวยหยวนก็เป็นคนที่มีนิสัยหนักแน่น ซ้ำยังฉลาดเฉลียว อายุเพียงยี่สิบปีก็สอบได้เป็นซานหยวนจี๋ตี้ ศิษย์ของโอรสสวรรค์ งานเลี้ยงฉยงหลินในวันนั้นกระทั่งฮ่องเต้ยังตรัสชมเขาด้วยพระองค์เองว่ามีพรสวรรค์และสติปัญญาเป็นเลิศ อนาคตบนเส้นทางขุนนางย่อมไร้ขอบเขต ตนในฐานะอาก็คิดว่าในอนาคตจะต้องได้เลื่อนขั้นดีๆ ด้วยเช่นกัน
การมีสมาชิกในครอบครัวอยู่ในราชสำนักนั้นเป็นเรื่องดีเสมอ จะได้คอยช่วยเหลือพึ่งพากันได้ อีกทั้งจากสถานการณ์เช่นนี้ของหลี่เหวยหยวน ดีไม่ดีวันข้างหน้าในราชสำนักตนเองอาจยังต้องพึ่งพาให้เขาคอยดูแลอีกด้วย