คิดถึงเรื่องบุตรชายแล้วหลี่หลิงหว่านพลันหัวใจกระตุก
เดิมทีนางอยากให้ผ่านไปสักพักหนึ่งจึงค่อยเอ่ยเรื่องนี้กับโจวซื่อ แต่ตอนนี้บอกกับโจวซื่อเร็วสักหน่อย ให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า
หลี่หลิงหว่านเป็นฝ่ายกลับมากุมมือของโจวซื่อ เงยหน้ามองนางแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน”
โจวซื่อกำลังยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาบนใบหน้า จู่ๆ ได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยกับนางอย่างจริงจังเช่นนี้ หัวใจพลันเต้นเร็ว เพียงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าหรือหลี่ซิวป๋อได้สร้างความลำบากให้กับหลี่หลิงหว่าน นางจึงรีบร้อนเอ่ย “เป็นเรื่องใดกัน”
แม้แต่น้ำเสียงยังสั่นน้อยๆ ช่างเป็นวิหคผวาเกาทัณฑ์ ลมครวญกระเรียนร้อง จริงๆ
หลี่หลิงหว่านบีบมือโจวซื่อเบาๆ คล้ายบอกให้นางไม่ต้องกังวล จากนั้นถึงได้เอ่ยช้าๆ “เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเห็นหมิงเยวี่ยสาวใช้ข้างกายซุนอี๋เหนียง ยามนั้นข้าสังเกตดูอย่างละเอียด เห็นท้องน้อยของนางนูนขึ้นน้อยๆ ทั้งยังคลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง สองวันก่อนข้าจึงให้คนไปสืบข่าวมา ถึงได้รู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว”
ในนิยายนางได้วางให้หมิงเยวี่ยตั้งครรภ์จริงๆ ทั้งภายหลังที่คลอดออกมาแล้วยังเป็นบุตรชาย เด็กคนนี้คลอดยากนัก พอคลอดออกมาหมิงเยวี่ยก็ขาดใจตายไป หลี่ซิวป๋อจึงเป็นคนเสนอให้ซุนหลันอีเลี้ยงเด็กคนนี้
โจวซื่อมีท่าทีไม่เข้าใจในความหมายของหลี่หลิงหว่านอยู่บ้าง หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วนางถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม “อ้อ ท่านพ่อของลูกมีบุตรอีกคนแล้ว?”
หลี่หลิงหว่านมองโจวซื่อคราหนึ่ง ลอบถอนหายใจ ในใจคิดว่า เห็นทีประโยคนี้จะต้องเอ่ยอย่างชัดเจนหน่อยจึงจะได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าคิดเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านเป็นท่านแม่ใหญ่ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าในบ้านสามีมีสาวใช้ตั้งครรภ์ ทั้งยังเป็นบุตรของท่านพ่อ ท่านสามารถใจกว้างสักหน่อย ไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าต้องการยกสาวใช้คนนี้ขึ้นเป็นอี๋เหนียง ในใจสาวใช้ผู้นี้จะต้องขอบคุณท่านเป็นแน่ และในช่วงที่นางตั้งครรภ์ ท่านก็ให้คนไปปรนนิบัตินางดีๆ รอจนเด็กในท้องนางคลอดออกมา ท่านก็สามารถรับเด็กคนนี้มาไว้ภายใต้ชื่อของท่านได้ หากหมิงเยวี่ยมีวาสนาคลอดบุตรชายออกมา เมื่อเขาเป็นลูกในนามของท่าน เขาก็จะเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอก ถึงยามนั้นเขาก็จะมีท่านคอยเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็ก มีท่านอบรมสั่งสอนเขาอย่างตั้งใจ ต่อให้ท่านไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ก็ไม่แตกต่างจากเป็นผู้ให้กำเนิดเองสักเท่าไร รอจนเขาเติบใหญ่ คนที่เขาจะกตัญญูด้วยย่อมเป็นท่านแน่ หากเขาสามารถสอบผ่านจนมีตำแหน่งที่ดี พวกเราสองแม่ลูกเองก็มีที่พึ่งแล้ว ท่านว่ามีเหตุผลหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่หลิงหว่านเอ่ยประโยคเหล่านี้จนโจวซื่อกระจ่างแจ้งโดยฉับพลัน ความวิตกกังวลในใจล้วนไม่เหลือแล้ว
เดิมทีโจวซื่อยังคิดว่านางที่ไม่มีบุตรชาย รอจนหลี่หลิงหว่านแต่งออกไปแล้ว ดูจากระดับความรักใคร่ที่หลี่ซิวป๋อมีต่อซุนหลันอีกับบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นในยามนี้ ชีวิตในบั้นปลายของนางย่อมอ้างว้างเป็นแน่ แต่หากนางมีบุตรชายอยู่เคียงข้าง ต่อให้พึ่งพาสามีไม่ได้ก็ยังพึ่งพาบุตรชายได้
“ใช่…ใช่แล้ว” โจวซื่อรีบเอ่ย “เป็นเช่นนี้ได้”
หลี่หลิงหว่านเห็นมารดาคิดตกแล้ว ในใจนางก็มีความสุข
หลังสองแม่ลูกพูดคุยถึงรายละเอียดเรื่องนี้อีกรอบแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงลุกขึ้นเตรียมจากไป บอกว่าต้องการไปดูหลี่เหวยหยวน
เมื่อครู่หลี่เหวยหยวนรับฝ่ามือนั้นของหลี่ซิวป๋อแทนหลี่หลิงหว่าน นางย่อมรู้สึกเป็นห่วงเขามากจริงๆ และโจวซื่อเองก็ไม่ได้ห้าม
ตอนนี้หลี่เหวยหยวนเดินอยู่บนเส้นทางขุนนางแล้ว อีกทั้งอายุยังน้อย หน้าที่การงานในภายภาคหน้าย่อมไม่แย่ วันนี้เขายอมกระทั่งรับฝ่ามือของหลี่ซิวป๋อแทนหลี่หลิงหว่าน เพียงพอให้เห็นว่าในใจเขามีหลี่หลิงหว่านอยู่ โจวซื่อมีแต่รู้สึกยินดียิ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินหลี่หลิงหว่านบอกเช่นนี้ นางจึงรีบเอ่ย “นี่เป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง ลูกรีบไปดูพี่ใหญ่ลูกเถอะ จำไว้ว่าจะต้องขอบคุณเขาให้ดี”
หากมีหลี่เหวยหยวนคอยดูแลเช่นนี้ ชาตินี้ของหลี่หลิงหว่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว
หลี่หลิงหว่านตอบรับ จากนั้นยังเอ่ยกำชับโจวซื่ออีกหลายประโยค ถึงได้พาเสี่ยวซานหมุนตัวออกจากประตูไปหาหลี่เหวยหยวน