บทที่สิบสอง
หลี่เหวยหยวนกำลังจะยื่นมือไปหยิบตำราที่เขาเพิ่งวางลงบนโต๊ะมาอ่าน แต่พอได้ยินประโยคนี้เขาก็ไม่คิดหยิบตำราแล้ว เอาแต่มองหลี่หลิงหว่าน มุมปากหยักโค้งมากขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้
บุรุษผู้หนึ่งหากถูกผู้อื่นเอ่ยชมว่าตนเองดูงดงามเช่นนี้ หลี่เหวยหยวนย่อมไม่ดีใจ ด้วยรู้สึกว่าถูกเหยียดหยามเข้าให้แล้ว ในใจย่อมรู้สึกเกลียดชังคนผู้นั้นไม่มากก็น้อย แต่พอได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยชมเช่นนี้ เขามีแต่จะรู้สึกมีความสุข
และยามนี้หลี่หลิงหว่านก็ใคร่ครวญไปไม่น้อยแล้ว ในที่สุดนางจึงตัดสินใจได้ ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยนิ้วทองคำอ้วนๆ อย่างสำนักหวงจี๋วางทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่ใช้เช่นนั้น นี่ไม่เป็นการดูถูกศัตรูเกินไปหรอกหรือ มิหนำซ้ำหลี่เหวยหยวนยังคอยปกป้องนางมาโดยตลอด ต่อให้ภายหลังเขามีอำนาจแล้ว นางก็ยังเชื่อว่าเขาจะไม่มีทางทำร้ายนางเป็นอันขาด
เหตุใดจึงไม่มอบนิ้วทองคำนี้ให้หลี่เหวยหยวนเสียเลยเล่า ถึงอย่างไรสติปัญญาของนางก็ดูแลสำนักหวงจี๋ไม่ไหวแน่นอน แต่หลี่เหวยหยวนจะต้องทำได้แน่ มิหนำซ้ำตอนนี้ตัวตนของนางยังเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ไม่อาจออกจากจวนได้โดยง่าย เรื่องการดูแลสำนักหวงจี๋จะต้องมีข้อจำกัดอย่างมาก ดังนั้นนิ้วทองคำนี้เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ทำได้เพียงมอบให้หลี่เหวยหยวนเท่านั้น
เมื่อมีนิ้วทองคำนี้แล้ว ภายหลังที่หลี่เหวยหยวนอยู่ในราชสำนักก็จะยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ สุดท้ายจะไม่มีทางจบลงด้วยจุดจบเช่นนั้น
เพียงแต่หลี่เหวยหยวนฉลาดถึงเพียงนี้ ที่สุดแล้วเรื่องนี้ควรจะเปิดปากเอ่ยกับเขาเช่นไรถึงจะไม่ทำให้เขาสงสัยนางขึ้นมา
หลี่หลิงหว่านขมวดคิ้วงามและกัดริมฝีปากเอาไว้
หลี่เหวยหยวนเห็นนางขมวดคิ้วและกัดริมฝีปากเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าในใจนางมีเรื่องให้ครุ่นคิด ซึ่งเขาไม่ชอบเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้เป็นอย่างมาก
ข้ารู้สึกว่าหว่านวานของข้าควรจะมีความสุขในทุกๆ วัน ไร้ทุกข์ไร้กังวลจึงจะดี จะมีเรื่องราวให้คอยหงุดหงิดใจได้อย่างไร
หลี่เหวยหยวนพลันโน้มตัวเข้าหา ยื่นมือไปกุมมือหลี่หลิงหว่าน แล้วเอ่ยเรียกนางเสียงเบา “หว่านวาน”
หลังเรียกไปสองครั้งหลี่หลิงหว่านถึงได้ส่งเสียงตอบรับ กระนั้นนางก็ไม่ได้หันหน้ามา เพียงแต่ถามเขาอย่างใจลอย “เจ้าค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนไม่ได้ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้ยกมือขึ้นคลึงคิ้วที่ขมวดมุ่นของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องขมวดคิ้วแล้ว มีเรื่องทุกข์ใจอะไรแค่บอกพี่ชายมา พี่ชายจะช่วยจัดการให้เจ้า”
หลี่หลิงหว่านคิดในใจ ข้าไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจเพียงเรื่องเดียวเสียหน่อย เรื่องทุกข์ใจของข้านั้นยังมีอีกมาก มิหนำซ้ำดูท่าแล้วยังต้องอาศัยเจ้าเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมดด้วย
นางเอ่ยปากบอกให้เสี่ยวซานกับจิ่นเหยียนออกไปเฝ้าข้างนอก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย ข้ามีเรื่องจะพูดกับพี่”
คิดไปคิดมาเรื่องที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้ก็ทำได้เพียงอาศัยชื่อของภูตผีวิญญาณมาพูดแล้ว อีกทั้งนางยังเห็นว่าวันนี้ตอนที่หลี่เหวยหยวนไหว้พระก็มีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง ไม่แน่เขาอาจจะศรัทธาในพระพุทธองค์เช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นได้ เช่นนั้นการจะทำให้เขาเชื่อคำพูดของนางก็จะยิ่งง่ายขึ้นมาหน่อยแล้ว
หลังจากที่หลี่เหวยหยวนถามมาว่ามีเรื่องอะไร หลี่หลิงหว่านจึงเขยิบเข้าใกล้เขาอย่างมีลับลมคมในก่อนเอ่ยเสียงเบา “พี่ชาย ขอไม่ปิดบังพี่ หลายปีมานี้ข้ามักจะฝันแปลกๆ อยู่เสมอ”
หลี่เหวยหยวนเลิกคิ้วน้อยๆ มือที่กุมมือนางไว้ก็ชะงัก
เจ้าคิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาได้อีกแล้วหรือ
และเพื่อให้หลี่เหวยหยวนยอมเชื่อคำพูดของตนเอง หลี่หลิงหว่านยังเล่าเรื่องจับวิญญาณเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ออกมา แน่นอนว่าหลักๆ ย่อมพูดถึงบทสนทนาระหว่างนางกับฮูหยินผู้เฒ่าในตอนนั้น
“ภายหลังข้ายังฝันถึงท่านปู่ผู้นั้นอยู่บ่อยๆ บางทีเขาก็มาสนทนาสัพเพเหระกับข้า บางทียังเอ่ยบอกเรื่องบางอย่างกับข้า อย่างเช่นก่อนที่พี่จะเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อ เขาบอกข้าว่าพี่จะสามารถสอบได้เป็นเจี้ยหยวน ก่อนสอบฮุ่ยซื่อเขาก็บอกว่าพี่จะสอบได้เป็นฮุ่ยหยวน แม้แต่เรื่องที่พี่ได้เป็นจ้วงหยวนในการสอบเตี้ยนซื่อเขาเองก็บอกข้ามาก่อนนานแล้ว”