เดิมทีในนิยายนางเขียนให้หลี่หลิงเยี่ยนเรียกหลี่เหวยหยวนว่า ‘พี่ชาย’ มาโดยตลอด และหลี่เหวยหยวนเองก็ชื่นชอบยิ่งนัก ดังนั้นตอนนี้นางเลยยืมมาใช้เรียกเขาก่อนเป็นการชั่วคราว
ตอนที่หลี่เหวยหยวนได้ยินหลี่หลิงหว่านเรียกตนเองว่าพี่ชายนั้น ฝีเท้าของเขาก็ชะงักลงอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มก้าวเดินต่อ ทั้งยังเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม
น่าตลกชะมัด! มารน้อยตนนี้ถึงกับเรียกข้าว่าพี่ชาย? เมื่อก่อนเวลาที่นางเห็นข้ามิใช่ว่าเอาแต่ยกมือเท้าสะเอวแล้วเชิดหน้าเรียกข้าว่า ‘เจ้าขยะ’ หรือไร
หลี่เหวยหยวนคิดว่าหูตนเองคงโดนความเย็นกัดจนเสียแล้วเป็นแน่ เมื่อครู่ถึงได้หูแว่วไปเช่นนั้น
แล้วเขาก็รู้ได้ชัดเจนว่านี่หาใช่อาการหูแว่ว เพราะว่าหลี่หลิงหว่านยังคงเอาแต่เรียกเขาว่าพี่ชายไม่หยุด
เด็กหญิงอายุแปดขวบย่อมมีช่วงระยะของการก้าวขาที่ไม่กว้างนัก ซ้ำบนพื้นยังเป็นหิมะที่เดินยาก นางจึงได้แต่วิ่งอยู่บนพื้นหิมะอย่างทุลักทุเลเช่นนี้ไปตลอดทาง พยายามเร่งตามฝีเท้าของเขาให้ทัน
หลี่เหวยหยวนเอียงศีรษะไปมองเล็กน้อย หางตาเห็นภาพนี้แล้วเขาก็ดึงสายตากลับ ในใจคิดอย่างเย็นชาว่า เจ้ามารน้อยตนนี้กำลังวางแผนร้ายอะไรอีก
เมื่อสองวันก่อนเขาเดินออกมาจากเรือนที่กักบริเวณตู้ซื่อ เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกลก็เจอเข้ากับหลี่หลิงหว่าน ตอนนั้นนางเชิดหน้าและยกมือเท้าสะเอวยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใช้สายตาดูถูกอย่างที่สุดมองมา น้ำเสียงของนางไม่ไยดีอย่างยิ่งขณะเอ่ยถามเขา ‘เจ้าขยะ! เจ้าโผล่มาจากที่ใดกัน’
พอมองไปเห็นเรือนปลีกวิเวกที่อยู่ด้านหลังเขา บนใบหน้านางก็ปรากฏความเข้าใจกระจ่าง ก่อนจะชี้นิ้วมาทางเขา
‘ที่แท้เจ้าก็เข้าไปในสถานที่ต้องห้ามนี่เอง ท่านย่าเคยพูดไว้แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่ต้องห้าม คนที่เข้าไปจะต้องถูกโบย ซ้ำยังต้องถูกขับออกจากจวนด้วย ฮ่าๆ ข้าจะไปบอกท่านย่าเรื่องที่เจ้าเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามเดี๋ยวนี้เลย’
พูดจบนางก็หมุนตัวเตรียมวิ่งจากไป
ยามนั้นหลี่เหวยหยวนกำลังเจ็บปวดไปทั้งร่าง สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ยิ่งนัก เขาเพิ่งโดนมารดาแท้ๆ ของตนเองใช้ปลายแหลมของเชิงเทียนทิ่มแทงร่างกายเขาอย่างรุนแรง ทำราวกับว่าเขามิใช่บุตรชายของนาง แต่เป็นศัตรูที่นางไม่อาจอยู่ร่วมโลกได้อย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าใครที่ถูกกระทำเช่นนี้จิตใจย่อมย่ำแย่อยู่แล้ว
ในชั่วขณะนั้นหลี่เหวยหยวนแทบจะหมดความอดทน เขาอยากพุ่งเข้าไปบีบคอตู้ซื่อให้ตายเสียเลย
ทว่าเขายังอดทนได้อยู่
เด็กหนุ่มอายุสิบสามปีได้แต่ยืนกำหมัดแน่นอยู่บนพื้นอันเย็นเฉียบ เขาไม่หลบและไม่หลีกเลี่ยง เพียงแค่ปล่อยให้มารดาแท้ๆ หยิบเชิงเทียนมาแทงบนร่างกายเขาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับฟังนางด่าทอว่าเขาเป็นลูกนางโลม พูดว่าเหตุใดเขายังไม่ตายๆ ไปเสียที
เหตุใดข้าถึงเป็นลูกนางโลมไปได้ ในใจหลี่เหวยหยวนคิดอย่างเย็นชา หรือว่าข้าจะไม่ใช่ลูกของนาง?
เหตุใดเด็กในครอบครัวอื่นล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนจากมารดา แต่ข้ากลับถูกมารดาแท้ๆ ของตนเองทำร้ายทารุณเช่นนี้ หรือว่าข้าสมควรตายไปจริงๆ?
เด็กหนุ่มสภาพจิตใจย่ำแย่อย่างมาก ซ้ำในเวลานั้นยังถูกหลี่หลิงหว่านทำตัวยั่วยุเช่นนั้นใส่อีก
ยามนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองหลี่หลิงหว่าน เด็กหญิงแต่งกายหรูหรา บนใบหน้างดงามมีแต่ความอวดดีและการดูถูกเหยียดหยามเขา นางยังข่มขู่ว่าจะนำเรื่องที่เขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามไปบอกแก่ฮูหยินผู้เฒ่าด้วย
เด็กหนุ่มพลันมีโทสะผุดวาบขึ้น กระทั่งเกิดความกล้าที่จะกระทำเรื่องชั่วช้าขึ้นมา เขายื่นมือออกไปผลักเด็กหญิงอย่างเหี้ยมโหด
เขามองเห็นว่าที่ด้านหลังหลี่หลิงหว่านมีหินแหลมคมอยู่ก้อนหนึ่ง ต่อให้เป็นตอนที่กระทำเรื่องชั่วช้าแค่ไหน ในใจเขาก็ยังสามารถคำนวณได้อย่างว่องไว ดูจากความสูงของหลี่หลิงหว่านแล้ว ตอนที่นางล้มลงไปท้ายทอยจะต้องกระแทกเข้ากับหินก้อนนั้นอย่างแน่นอน
ผลลัพธ์ย่อมเป็นไปตามที่เขาคำนวณไว้ ตอนที่หลี่หลิงหว่านล้มลงไปท้ายทอยก็กระแทกเข้ากับหินก้อนนั้นอย่างแม่นยำจริงๆ
เสียงตึงดังขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นเลือดสดๆ ก็ค่อยๆ ไหลรินจากก้อนหินแผ่ลามลงมาบนพื้นทันที
มองเห็นเลือดที่คดเคี้ยวลงมาหลายสายนั้น ในใจหลี่เหวยหยวนก็บังเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา ความรู้สึกดีเช่นนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าหัวใจในอกกำลังเต้นดุจรัวกลอง ฝ่ามือชื้นเหงื่อ ปากแห้งผาก แต่บนใบหน้าของเขายังคงรักษาความเย็นชาเฉยเมยเอาไว้ได้อยู่
สายตาของเขากวาดมองไปยังเด็กหญิงที่ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อคราหนึ่งอย่างไม่แยแส ก่อนหมุนตัวจากไปทันที
ตอนนั้นไม่มีสาวใช้ติดตามอยู่ข้างกายหลี่หลิงหว่าน ขอเพียงนางนอนเลือดไหลอยู่ที่นี่เพียงลำพัง สุดท้ายนางจะต้องตายแน่ๆ ใช่หรือไม่ พอนางตายไปแล้วก็จะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่เขาเป็นคนผลักนางอีก