ในเวลาต่อมา หลี่หลิงหว่านกำลังถือส้มโอที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วกิน ขณะเดียวกันก็มองสำรวจห้องไปด้วย
แม้จะข้ามมิติมาได้สองวันแล้ว แต่ช่วงเวลาสองวันนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนสะลึมสะลือนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน นางเพิ่งจะมีโอกาสได้มองสำรวจห้องที่ตนอยู่ในยามนี้เอง
ถึงอย่างไรเจ้าของร่างเดิมก็เป็นเด็กหญิงอายุแปดขวบ ย่อมต้องชอบสิ่งของที่มีสีชมพู ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงเห็นเพดานของห้องนี้แขวนโคมมุกระย้าสีชมพูดอกท้อเอาไว้ ม่านมุ้งทั้งสี่ด้านที่แขวนอยู่บนเสาล้วนมีสีม่วงอมชมพู ตรงกลางห้องยังวางฉากบังลมทอลายดอกอวี้หลันบดบังสายตา ที่ด้านหลังมีเตียงสี่เสาเล็กๆ หลังหนึ่ง ห้อยม่านสีแดงสดใสเอาไว้
ขณะที่นางกำลังมองการตกแต่งภายในห้องก็เห็นเสี่ยวซานเดินเข้ามาเอ่ย “คุณหนู มีสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่ามาขอพบท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นถึงประมุขผู้มีอำนาจเด็ดขาดภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงรีบร้อนเอ่ย “รีบไปเชิญนางเข้ามา”
เสี่ยวซานรับคำแล้วเดินไปเลิกม่านลายดอกไม้หลากสีที่ห้อยอยู่ตรงประตูกั้นห้องขึ้น ก่อนจะมีสาวใช้คนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามา
หลี่หลิงหว่านเงยหน้ามองสาวใช้ผู้นั้น เห็นนางสวมเสื้อบุซับในสีแดงเข้มปักลายดอกไม้คู่กับกระโปรงสีขาว บนศีรษะปักปิ่นมุกลายดอกไม้ แล้วยังมีปิ่นหยกอีกอันหนึ่ง รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจด จากการแต่งกายก็สามารถบอกได้ว่าตำแหน่งของสาวใช้ผู้นี้ไม่ต่ำต้อย เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
หลี่หลิงหว่านจำได้ว่าตนวางให้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามีสาวใช้รุ่นใหญ่อยู่สองคน คนหนึ่งชื่อซวงหง อีกคนชื่อซวงหรง ไม่รู้เหมือนกันว่าสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นใครในสองคนนั้น
โชคดีที่นางไม่ต้องเปลืองแรงไปหลอกถาม เพราะว่าสาวใช้ผู้นั้นเดินขึ้นหน้ามาย่อกายคารวะนางคราหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ซวงหงคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”
เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าไม่ผิดไปจากที่คาดจริงๆ เสียด้วย
หลี่หลิงหว่านในใจกระจ่างแล้วจึงยิ้มให้ซวงหงก่อนเอ่ยถามนาง “พี่ซวงหงมาหาข้าถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าท่านย่ามีเรื่องอะไรมาบอกกล่าวหรือ”
ซวงหงได้ยินนางเรียกตนเองว่า ‘พี่ซวงหง’ ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
คุณหนูสามผู้นี้เป็นคนอารมณ์ร้ายคนหนึ่ง อาศัยว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดู และตำแหน่งหน้าที่การงานของบิดานางก็สูงกว่านายท่านใหญ่และนายท่านรอง ที่ผ่านมาจึงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา แม้แต่ญาติพี่น้องที่อายุเท่ากันเหล่านั้นนางก็ยังไม่แยแส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาสาวใช้เช่นพวกตนเลย หนนี้จู่ๆ มาเรียกตนว่าพี่ซวงหง ทำให้ซวงหงคิดว่าตนเองคงฟังผิดไปเป็นแน่
อย่างไรอายุของซวงหงก็มากกว่า นิสัยนางก็หนักแน่นกว่ามาก ดังนั้นแม้จะประหลาดใจเพียงใด ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกออกมาแม้แต่น้อย นางยังคงเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม “ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้บ่าวมาหา ประการแรกเพราะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของคุณหนู รู้สึกไม่วางใจจึงสั่งให้บ่าวมาดูอาการเจ้าค่ะ ส่วนประการที่สอง วันนี้ยามเช้าตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปไหว้พระที่วัดแล้วคิดถึงเหตุร้ายที่คุณหนูประสบมาเมื่อสองวันก่อน ในใจรู้สึกเป็นกังวลจึงได้ขอพรที่เบื้องหน้าเจ้าแม่กวนอินอย่างจริงใจ ทั้งยังนำยันต์คุ้มภัยอันหนึ่งกลับมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
กล่าวจบก็ยื่นยันต์คุ้มภัยสีเหลืองร้อยเชือกสีแดงอันหนึ่งมาให้ด้วยสองมือ
หลี่หลิงหว่านยื่นมือออกไปรับ
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเชื่อในพระพุทธองค์มากคนหนึ่ง ถึงขั้นเปลี่ยนห้องเล็กในเรือนเป็นห้องพระ ทุกวันเช้ากลางวันเย็นจะต้องกราบไหว้พระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอินอยู่ในห้องเสมอ หากว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มักจะไปไหว้พระที่วัดอยู่บ่อยๆ
ทว่านอกจากความเชื่อในพระพุทธองค์ที่วางไว้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีบุคลิกที่ถูกวางไว้อีกสองอย่าง นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับลูกภรรยาเอกมากกว่าลูกอนุ และให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี
คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าชอบมากที่สุดในตอนนี้ก็คือหลี่เหวยหลิง หลานชายคนรองที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกของบุตรคนรอง ส่วนหลี่หลิงหว่านก็เป็นถึงหลานสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอก ยามนี้บิดาของนางหลี่ซิวป๋ออยู่ที่เขตปกครองมณฑลเจ้อเจียง รับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ที่ปรึกษาฝ่ายซ้าย ปัจจุบันนับเป็นคนที่มีอนาคตที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสามของฮูหยินผู้เฒ่า
พอหลี่หลิงหว่านรับยันต์คุ้มภัยมาจากมือซวงหงแล้วก็รีบนำมาห้อยไว้ที่คอทันที ก่อนจะเอ่ยกับซวงหงว่า “รบกวนพี่ซวงหงกลับไปบอกท่านย่าด้วยว่าลำบากท่านย่าต้องเป็นห่วงแล้ว บาดแผลของข้าในตอนนี้ดีกว่าเมื่อสองวันก่อนมากนัก พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปคารวะท่านย่าถึงเรือน ถึงยามนั้นจะขอบคุณท่านย่าที่นำยันต์คุ้มภัยอันนี้กลับมาให้ข้าด้วยตนเองอีกที”
แม้จะประหลาดใจที่ตอนนี้คุณหนูสามรู้มารยาทมากถึงเพียงนี้ กระนั้นซวงหงก็ยังคงตอบรับทุกคำพูดของหลี่หลิงหว่านอย่างนอบน้อม ก่อนจะย่อกายคารวะบอกลานางแล้วหมุนตัวจากไป