ในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่บนเตียงเตาก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นท่าที่สบายกว่าเดิม ราวกับคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้จึงเปิดปากเอ่ยกับซวงหงอีกครั้ง “เมื่อครู่ที่ฟังเจ้าพูดทำให้ข้าคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้พอดี”
“ฮูหยินผู้เฒ่าคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้หรือเจ้าคะ” ซวงหงรีบผุดรอยยิ้มเอ่ยถาม
“บรรดาคุณชายของตระกูลหลี่ก็ล้วนโตกันหมดแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะได้รับการศึกษากันมาแล้ว เพราะแต่ละบ้านต่างก็เชิญอาจารย์มาถ่ายทอดวิชาให้กับพวกเขา แต่อย่างไรก็ยังเป็นการเรียนรู้ที่ต่างคนต่างเรียน ความตั้งใจของข้าคืออยากให้มีการสร้างเรือนปลีกวิเวกแห่งหนึ่งขึ้นภายในจวนโดยเฉพาะ จากนั้นให้ร่วมกันออกค่าใช้จ่าย เชิญอาจารย์บัณฑิตผู้มากความรู้ผู้หนึ่งมา แล้วให้หลานๆ ของข้ามารวมตัวเล่าเรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน หากทำได้จริง นี่มิใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ”
ซวงหงย่อมเห็นดีด้วย นางเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างฉลาดหลักแหลม มีสายตากว้างไกล ไม่มีใครเทียบเคียงท่านได้เลยเจ้าค่ะ” ก่อนจะเอ่ยอีกว่า “หนนี้ท่านเชิญอาจารย์บัณฑิตผู้เปี่ยมด้วยความรู้มาสอนสั่งบรรดาคุณชายภายในจวนของเรา ในอนาคตคุณชายทุกคนย่อมสามารถสอบได้เป็นจิ้นซื่อ สกุลหลี่ของพวกเราจะต้องรุ่งโรจน์เหมือนที่ผ่านมาแน่นอน”
บรรพบุรุษสกุลหลี่เคยได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธา ทั้งยังเคยได้เข้าสภาขุนนาง ทว่าต่อมาความรุ่งโรจน์กลับค่อยๆ ลดน้อยลงมา จวบจนถึงรุ่นของนายท่านผู้เฒ่าแล้วสกุลหลี่ก็ยังเป็นแค่ขุนนางลำดับหลักขั้นห้าตำแหน่งรองผู้ช่วยฝ่ายขวาของศาลสถิตยุติธรรมเท่านั้น ส่วนบรรดาบุตรชายทั้งสามของฮูหยินผู้เฒ่านี้ บุตรคนโตหลี่ซิวซงจวบจนปัจจุบันยังเป็นแค่คนว่างงาน บุตรคนรองหลี่ซิวจู๋เป็นแค่จวี่เหริน มีเพียงบุตรคนที่สามหลี่ซิวป๋อที่สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อตอนอายุยี่สิบห้าปี หลังฝึกงานอยู่กรมอากรได้สักพักหนึ่งก็ถูกโยกย้ายไปยังมณฑลเจ้อเจียง ส่วนพวกรุ่นหลานจากที่ดูในตอนนี้ หลี่เหวยหลิงบุตรชายของบุตรคนรองนับเป็นคนมีพรสวรรค์ผู้หนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มแย้มผงกศีรษะ ในบรรดาสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายทั้งสองของตนนั้น นางค่อนข้างชอบซวงหงมากกว่าเล็กน้อย เด็กคนนี้ทั้งกระฉับกระเฉง ทั้งรู้จักพูดให้ถูกใจนาง
คิดแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นมาอีก “สกุลหลี่ของพวกเราเป็นสกุลบัณฑิต ไม่ได้ไร้การศึกษาเหมือนพวกชาวบ้านทั่วไปที่เห็นว่าสตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่าดี ในเมื่อคิดจะเชิญอาจารย์มาแล้วก็ให้เหล่าคุณหนูได้เล่าเรียนไปพร้อมกับเหล่าคุณชายด้วยกันเสียเลย ให้พวกนางรู้หนังสือบ้างเสียหน่อยจะได้ทันคน ในอนาคตยังเรียนรู้หน้าที่ของการเป็นภรรยาได้ง่ายขึ้นด้วย”
ซวงหงได้ยินแล้วก็รีบยิ้มเอ่ยทันที “สายตากว้างไกลของฮูหยินผู้เฒ่าช่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้เลยเจ้าค่ะ กว้างไกลกว่าคนอื่นๆ มากมายนัก พอคุณหนูของพวกเรารู้หนังสือแล้ว วันหน้ายามที่ท่านพาพวกนางไปร่วมงานเลี้ยงของสกุลอื่นอีกครั้ง ผู้คนย่อมเอ่ยว่าท่านอบรมสั่งสอนมาดี เมื่อคุณหนูทุกคนมีทั้งความรู้ความสามารถ วาทศิลป์ และกิริยามารยาทสง่างามเช่นนั้น บรรดาคุณชายชั้นสูงทั้งหลายมีหรือจะไม่รีบมาสู่ขอคุณหนูของพวกเราอีก”
ซวงหงเอ่ยประโยคนี้จนฮูหยินผู้เฒ่าหลุดยิ้มออกมา “ปากของเจ้าช่างมีพรสวรรค์เสียจริง รู้จักพูดให้คนแก่อย่างข้ามีความสุขเสมอ” จากนั้นจึงเอ่ยอีกว่า “ในเมื่อตั้งใจจะอบรมสั่งสอนบรรดาคุณหนูเพื่อที่ภายภาคหน้าจะได้จัดการเรื่องงานแต่งงานดีๆ ให้พวกนาง เช่นนั้นก็ตามนั้นเถอะ ให้ร่วมกันออกเงินอีกครั้ง ส่งคนไปสกุลซูเชิญหญิงปักผ้าชั้นสูงมา แล้วก็ตามหาอาจารย์สอนพิณ หมัวมัวสอนมารยาทมาด้วย พอฤดูใบไม้ผลิมาถึง อากาศอบอุ่นขึ้นแล้วก็ให้เล่าเรียนด้วยกันทั้งหมดเลย ถึงอย่างไรพวกคุณหนูก็โตกันแล้ว อย่างที่เจ้าบอก หากต้องออกไปพบปะผู้คน ย่อมไม่อาจให้สกุลหลี่ของพวกเราเสียหน้าได้”
ซวงหงตอบรับทุกคำ ก่อนจะเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏความอ่อนล้าขึ้นมา นางจึงค่อยๆ ถอยออกจากห้องอุ่นไปเงียบๆ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ตะแคงตัว ห่มผ้าห่มขนสัตว์ไว้บนเข่า หนุนหมอนอิงปิดตาพักผ่อนไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มิ.ย. 62