บทที่สี่
วันถัดมายามที่หลี่หลิงหว่านตื่นนอน นางก็พบว่าหิมะข้างนอกได้หยุดตกลงไปแล้ว
กระนั้นหิมะที่ตกหนักมาตลอดทั้งคืนก็ทำให้โลกภายนอกยามนี้มิต่างจากโลกที่สร้างขึ้นมาจากหิมะ
ในใจหลี่หลิงหว่านมีความสุขจนกระโดดโลดเต้น เพราะชาติก่อนนางเป็นคนใต้ ต่อให้เป็นฤดูหนาวก็ยังยากจะได้เห็นหิมะ
เสี่ยวอวี้ยกน้ำเข้ามาให้หลี่หลิงหว่านล้างหน้า จัดการเปลี่ยนยาที่แผลและพันผ้าพันแผลให้ใหม่ เสี่ยวซานก็ถูกฮว่าผิงสั่งให้ไปหยิบชุดที่ผู้เป็นนายจะต้องใส่ในวันนี้
เห็นเมื่อวานที่เสี่ยวอวี้คุกเข่าให้แล้ว ยามนี้หลี่หลิงหว่านจึงไม่ค่อยกล้าเกรงใจพวกนางเท่าไรแล้ว แต่จะให้นางทนเห็นฮว่าผิงทำตัวใช้อำนาจสั่งการคนอื่นเช่นนี้ก็ยากอีก อาจเป็นเพราะว่ามีอคติมาก่อน ในนิยายฮว่าผิงผู้นี้ก็ไม่ใช่ตัวละครที่ดีอะไร อีกทั้งสามวันที่ผ่านมานี้นางได้มองจากมุมมองของคนนอก รู้สึกว่าฮว่าผิงผู้นี้ค่อนข้างจะคิดเองเออเองมากเกินไปแล้วจริงๆ
ปีนี้ฮว่าผิงอายุสิบสาม ในบรรดาสาวใช้ของเรือนอี๋เหอทั้งหมดอายุของนางนั้นมากสุด แม้จะมีบ่าวหญิงอาวุโสสองคนที่อายุมากกว่า ทว่าพวกนางก็เป็นแค่บ่าวทั่วไปเท่านั้น ปกติถูกฮว่าผิงสั่งการจนหัวหมุนอย่างไรบ้างนั้นไม่พูดถึง แต่หากมีตรงส่วนใดที่ทำได้ไม่สมใจนางแล้วล่ะก็ ฮว่าผิงจะถลึงตาเลิกคิ้วด่าทอบ่าวหญิงอาวุโสทันทีจนสองคนนั้นพากันหวาดกลัว เมื่อเทียบกับหลี่หลิงหว่านแล้ว ฮว่าผิงทำตัวราวกับเป็นคุณหนูเสียมากกว่า
หลี่หลิงหว่านทนท่าทีเช่นนี้ของฮว่าผิงไม่ไหวอย่างยิ่ง อยากจะไล่อีกฝ่ายออกไปเสียเลย แต่พอคิดถึงว่ายามนี้ตนเองยังเข้าใจไม่กระจ่างถึงสภาพทุกอย่างภายในจวนสกุลหลี่ ทั้งมารดาของฮว่าผิงยังเป็นคนเก่าคนแก่ของจวน เกรงว่านางคงไม่อาจจะจัดการกับฮว่าผิงได้โดยง่ายในช่วงนี้
เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ นางทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน วันหลังค่อยหาโอกาสที่เหมาะสมโยกย้ายฮว่าผิงออกไปจากเรือนอี๋เหอก็ได้
ในเมื่อฮว่าผิงเกล้าผมเก่ง ทั้งหลี่หลิงหว่านเองก็ไม่อยากเห็นนางเอาแต่ขยับปากสั่งให้เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้ทำงานกันแค่สองคน ดังนั้นตนจึงเรียกให้นางมาเกล้าผมให้
ฮว่าผิงรับคำ เดินมาหยิบหวีงาช้างที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
หลี่หลิงหว่านให้นางเกล้ามวยคู่แบบเรียบๆ ลักษณะคล้ายดอกไม้ตูมๆ โดยไม่ลำบากกับผ้าพันแผลที่อยู่กลางศีรษะ อีกทั้งยังติดเครื่องประดับผมทองคำเล็กๆ อันหนึ่ง มองดูแล้วเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งโดยแท้
เสี่ยวซานนำชุดที่หาเจอแล้วเดินเข้ามา
เนื่องจากหลี่หลิงหว่านยังเป็นเด็กน้อย ทั้งยังเป็นวันที่หิมะเพิ่งหยุดตก แน่นอนว่านางต้องสวมชุดที่มีสีสันสดใสอยู่แล้ว สุดท้ายหลี่หลิงหว่านก็สวมเสื้อบุซับในกระดุมผ่าหน้าผ้าต่วนสีชมพู เข้าคู่กับกระโปรงจีบรอบสีแดงทับทิม ชั้นนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมผ้าต่วนสีแดงสดปักดิ้นทองกุ๊นขอบด้วยขนสัตว์ ในอ้อมแขนอุ้มเตาพกใบหนึ่ง พาเสี่ยวซานไปยังเรือนซื่ออันด้วยกัน
แม้ตลอดทั้งร่างจะมีอาภรณ์สีแดงเข้มๆ อ่อนๆ สวมอยู่บนตัว ทว่าก็ไม่ได้ทำให้หลี่หลิงหว่านดูแก่กว่าวัยแต่อย่างใด กลับกันดูจะขับให้ความงามของนางโดดเด่นยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ไม่น่าแปลกใจ เพราะเดิมทีตัวละครหลี่หลิงหว่านก็ถูกออกแบบมาให้เป็นคนงดงามมีเสน่ห์เช่นนี้อยู่แล้ว เหมาะจะสวมอาภรณ์สีสันสดใสแบบนี้ พวกสีเรียบๆ นั้นไม่เข้ากับนางโดยสิ้นเชิง
รอจนผ่านเส้นทางคดเคี้ยวมาจนถึงเรือนซื่ออันแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งตื่นนอน
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ทั้งอากาศยังหนาวยะเยือกเช่นนี้ นางย่อมอยากจะอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ให้นานขึ้นสักหน่อย
พอได้ยินสาวใช้รายงานว่าคุณหนูสามมาคารวะแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังคิดว่าตนเองใช่ฟังผิดไปหรือไม่เลย
เมื่อก่อนหลี่หลิงหว่านเป็นคนที่เกียจคร้านมากคนหนึ่ง ที่ผ่านมาเวลาที่นางมาคารวะจะต้องมาถึงเป็นคนสุดท้ายเสมอ เหตุใดวันนี้นางจึงมาถึงเช้าเช่นนี้ได้เล่า
ในใจฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดว่า หรือจะเป็นไปตามที่ซวงหงพูดไว้เมื่อวานจริงๆ จู่ๆ หว่านเจี่ย เอ๋อร์ก็รู้ความขึ้นมาแล้ว?
ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนนางหกล้มไปหนหนึ่งหรือไร…
หรือเป็นเพราะศีรษะกระแทกเข้ากับก้อนหินจนทำให้นางตาสว่างขึ้นมาได้จริงๆ?