ทว่าฉากหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงยิ้มเอ่ย “อาศัยบุญบารมีจากท่านย่า ทั้งได้ยันต์คุ้มภัยที่เมื่อวานท่านย่าตั้งใจไปขอจากที่วัดมาให้หลานอีก หลานตื่นขึ้นมาเช้าวันนี้ก็รู้สึกว่าบาดแผลที่ศีรษะดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
ความจริงแล้วหลี่หลิงหว่านก็รู้อยู่แก่ใจ เมื่อวานที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ซวงหงนำยันต์คุ้มภัยมามอบให้นั้นก็เป็นแค่ของที่ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบติดมือมาตอนไปไหว้พระที่วัดเท่านั้น ใช่ตั้งใจเอามาให้นางเสียหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่านับว่าไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านอะไรมากมาย มิเช่นนั้นหลานสาวบาดเจ็บที่ศีรษะหนักถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เคยเห็นมาคอยเฝ้าอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างเตียงเลยเล่า เพียงแค่สั่งให้สาวใช้แวะมาดูบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่ต่อหน้าก็ยังต้องพูดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงนางมาก ทำเช่นนี้ในใจฮูหยินผู้เฒ่าจึงจะดีใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะอย่างชื่นชมจริงๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยถามอีก “แล้ววันนั้นเจ้าหกล้มได้อย่างไร ท้ายทอยถึงกับกระแทกถูกหินเช่นนี้ สาวใช้ที่ติดตามเจ้าทำอะไรกันอยู่หรือ”
หลี่หลิงหว่านคิดในใจ นี่นับเป็นโอกาสอันดีในการฟ้องเรื่องฮว่าผิงและเพิ่มความดีความชอบแล้ว
นางเอ่ยว่า “วันนั้นหลานได้ยินพวกสาวใช้คุยกันว่าดอกเหมยแดงในสวนดอกไม้บางส่วนบานแล้ว หลานอยากไปเด็ดมาให้ท่านย่าปักแจกันสักหน่อย จึงพาฮว่าผิงสาวใช้ข้างกายไปยังสวนดอกเหมยด้วยกัน แต่ตอนที่หลานกำลังเด็ดกิ่งเหมยอยู่นั้น หันกลับมาอีกทีก็ไม่เจอฮว่าผิงแล้ว หลานจึงรีบร้อนตามหานาง ไม่ทันระวังจนหกล้ม ศีรษะก็กระแทกถูกก้อนหินเข้าด้วย โชคดีที่ตอนนั้นพี่ใหญ่เดินผ่านมาพอดีเจ้าค่ะ เขาเห็นศีรษะหลานกระแทกกับก้อนหินเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขามาพันแผลให้ มิเช่นนั้นดีไม่ดีหลานอาจจะเสียเลือดมากจนตายก็ได้ ไม่มีโอกาสมาเจอท่านย่าได้อีกแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้เด็กหญิงอายุแปดขวบก็บีบแขนฮูหยินผู้เฒ่าพลางสะอื้นไห้ขึ้นมา ร่ำไห้จนในใจฮูหยินผู้เฒ่าทั้งซาบซึ้งทั้งปวดใจ
ซาบซึ้งที่วันนั้นเด็กน้อยคนนี้คิดถึงนางจึงอยากไปเด็ดกิ่งเหมย ตอนที่ศีรษะโดนกระแทกยังคิดว่าตนเองจะต้องตายแน่ ไม่มีวันได้เจอท่านย่าอีก ที่ปวดใจก็คือโทษทัณฑ์ครั้งนี้ที่เด็กน้อยได้รับมานับว่าไม่เบาเลย และยามนี้ที่ศีรษะของอีกฝ่ายก็ยังคงมีผ้าพันแผลสีขาวหนาๆ พันเอาไว้อยู่
ทว่าหลังความปวดใจแล้วก็ยังมีโทสะผุดขึ้นมา “ฮว่าผิงคนนั้นรับใช้เจ้าอย่างไรกัน ไปบอกพ่อบ้านให้โบยนางยี่สิบไม้ แล้วตัดเงินเดือนของนางสามเดือน”
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็รีบเอ่ย “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านย่า หากตีจนนางอาการย่ำแย่แล้ว วันหลังหลานจะให้ใครมาคอยดูแลเล่า ช่างเถิดเจ้าค่ะ วันนั้นนางเองก็คงไม่มีเจตนา เรื่องโบยไม่ต้องแล้ว แค่ตัดเงินเดือนนางสามเดือนเป็นการลงโทษก็พอ”
ฟ้องก็ต้องฟ้อง แต่ร้องขอความเมตตาก็ต้องร้องขอ เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นว่านางเป็นเจ้านายใจกว้าง รู้จักเป็นห่วงสาวใช้ผู้หนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็พอใจ เอาแต่ผงกศีรษะติดๆ กัน ยื่นมือมาตบลงบนหลังมือนางเบาๆ และเอ่ยอย่างสุขใจ “ในที่สุดหว่านเจี่ยเอ๋อร์ของย่าก็โตเสียที รู้ความขึ้นมาแล้ว” ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะชะงักไป แล้วขมวดคิ้วถามขึ้นมาอีกครั้ง “เหตุใดวันนั้นถึงเป็นพี่ใหญ่มาช่วยเจ้าไปได้ เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่คำเดียว ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเขาไม่อยากเห็นหน้าเจ้ามากที่สุดหรอกหรือ แล้วจะช่วยเจ้าได้อย่างไรกัน”
หลี่หลิงหว่านหัวใจกระตุกวูบ
แย่แล้ว! คำโกหกนี้เห็นทีจะถูกเปิดโปงแล้ว!
ทว่าหลี่หลิงหว่านเองก็มีไหวพริบ
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของฮูหยินผู้เฒ่า สมองของนางก็ทำงานอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะต่อมาจึงเอ่ยตอบ “ท่านย่า ท่านเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่มีนิสัยรักสันโดษ ยามปกติเขามักรำคาญที่จะสนทนากับผู้อื่น ตอนนั้นพอพี่ใหญ่พันแผลให้หลานแล้ว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจึงรู้ว่าฮว่าผิงมา ด้วยเขาไม่อยากเจอผู้อื่นจึงหลบไปอยู่ด้านหลังต้นดอกเหมย หลานเองก็ได้แค่มองโดยไม่มีแรงเรียก ตอนนั้นฮว่าผิงมาถึงแล้วเห็นหลานมีเลือดออกเต็มศีรษะก็ตกใจจนลนลาน หมุนตัววิ่งไปตามคนอื่นๆ มา จึงไม่ทันสังเกตเห็นพี่ใหญ่ที่อยู่หลังต้นไม้เจ้าค่ะ รอจนสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสคนอื่นๆ รีบเร่งมาก็แบกหลานกลับห้อง ส่วนพี่ใหญ่อยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าใดหลานก็ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ของหลี่หลิงหว่านมีความจริงเจ็ดส่วน ความเท็จสามส่วน นางมั่นใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าย่อมแยกแยะไม่ออก
อาศัยเพราะนางเป็น ‘เทพผู้สร้าง’ แม้ตอนที่นางข้ามมิติมาจะเป็นช่วงเวลาหลังเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นไปแล้ว แต่นางก็ยังกระจ่างดีว่าวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง